ในช่วงฤดูฝนบางทีเราก็นึกไม่ออกนะว่าจะไปไหนดี จะไปทะเลน้ำก็คงขุ่น ไปไหนก็จะชื้น ๆ แฉะ ๆ แต่การท่องเที่ยวในฤดูฝนก็จะมีข้อดีตรงที่ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชะอุ่มดูแล้วสดชื่นสบายตาสบายใจ ทริปนี้เราก็เลยตัดสินใจขับรถขึ้นเหนือ แต่ด้วยเวลาจำกัดเลยเลือกเที่ยวเมืองเล็ก ๆ อย่างเมืองน่าน เมืองที่ใคร ๆ เคยไปแล้วก็ต้องหลงเสน่ห์ของความสงบและความเรียบง่ายของเมืองนี้ เราออกเดินทางจากจังหวัดพิษณุโลกในช่วงสายของวันเดินทางสบายบนถนนหมายเลข 11 แล้วแยกไปทางถนนหมายเลข 101 ไปทางจังหวัดแพร่ เข้าจังหวัดน่านประมาณบ่าย ๆ ขับรถเลียบเมืองดูวัด ดูคน จากนั้นก็ตระเวณหาที่พัก ทีแรกคิดว่าที่พักในเมืองน่านมีเฉพาะที่ปรากฎในแอพที่พักทั้งหลาย แต่พอได้ขับรถวน ๆ ดูพบว่าพื้นที่รอบ ๆ ชานเมืองของเมืองน่านก็มีบ้านที่ชาวบ้านดัดแปลงเป็นที่พักหลายหลัง ราคาไม่ได้แพงมากมายอะไรเพียงแต่อาจจะห่างเมืองไปนิดนึง ถ้าคนไม่มีรถยนต์ของตัวเองก็อาจจะเดินทางไม่สะดวก ซึ่งเราสองตายายไม่มีปัญหาเรื่องนี้ก็เลยเลือกที่พักซึ่งเป็นโฮมเสตย์แถว ๆ วัดพระธาตุเขาน้อย ราคาห้องละประมาณ 500-600 บาท ห้องใหญ่ มีห้องน้ำในตัว บรรยากาศดีเหมือนไปพักบ้านญาติ แต่ก็เป็นสัดเป็นส่วน ตอนเช้ามีกาแฟ ขนมกรุบกริบให้ทานรองท้องด้วยค่ะ ได้ห้องพักเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกไปหากินอะไรง่าย ๆ ในตัวเมือง แล้วก็หาเดินเลาะเที่ยวในเมืองน่านซึ่งป้ายแรกจะเป็นที่ไหนไม่ได้นอกจากวัดภูมินทร์ เพื่อชมภาพวาดผนังโบสถ์ที่มีชื่อว่า "ภาพวาดกระซิบรักบรรลือโลก" อยู่ภายในพระอุโบสถอาคารจตุรมุขที่มีนาคทั้ง 4 ด้าน นอกจากภาพวาดปู่-ย่า กระซิบรักแล้ว ก็ยังมีภาพวาดคู่รักอีกหลาย ๆ สะท้อนความโรแมนติกของจิตรกรในอดีตด้วย เราไปยืนต่อคิวรอถ่ายภาพกับปู่ม่าน-ย่าม่านใช้เวลาพอสมควร ภายในพระอุโบสถแสงค่อนข้างน้อย การถ่ายภาพต้องใช้ iso ช่วยดันสุดฤทธิ์ ไม่งั้นภาพคงมืดและสั่นไหว และการถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้ต้องระมัดระวังในเรื่องแสงแฟลชด้วย ใครใช้โหมด Auto ในการถ่ายภาพต้องปรับไปโหมด P เพื่อปิดแฟลช หรือถ้ากล้องมือถือก็ต้องปิดแฟลชด้วยนะคะ เพื่อรักษาอายุของภาพบนผนังอาคารเหล่านั้นด้วย พื้นที่รอบ ๆ วัดภูมินทร์ ยังมีสถานที่สำคัญอีก 2 แห่ง ก็คือวัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ตอนแรกผู้เขียนอ่านรีวิวท่องเที่ยวเมืองน่านก็จินตนาการว่าแต่ละแห่งอาจจะอยู่ห่างกัน แต่พอไปถึงสถานที่จริงกลายเป็นว่า ทั้ง 3 แห่งอยู่ในพื้นที่ใกล้กัน ห่างแค่ถนนกั้นแค่นั้นเองค่ะ เดินชมสถานที่และไหว้พระสมใจแล้วก็เป็นเวลาโพล้เพล้ ข้างวัดภูมินทร์ก็เปิดตลาดถนนคนเดิน ซึ่งทางเทศบาลได้ปูเสื่อและตั้งขันโตกไว้ให้บริการกับนักท่องเที่ยว และประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของ เราเลยตกลงใจทานข้าวเย็นที่ถนนคนเดิน แล้วค่อยกลับเข้าที่พัก รุ่นขึ้นเราก็ออกเดินทางไปอำเภอนาหมื่น ผ่านวัดบ่อแก้ว จุดเด่นของวัดบ่อแก้วก็คือเป็นวัดที่มีการออกแบบสไตล์ล้านนา และใช้สีขาวทั้งหมด ไหว้พระและชมเดินรอบ ๆ ก็เดินทางต่อไป เราออกจากอำเภอนาหมื่นขับรถเลียบป่าเขาลำเนาไพรซึ่งไม่ค่อยจะมีป่าไม้ มีแต่ป่าข้าวโพดเป็นส่วนมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้เสียอรรถรสในการเดินทาง เนื่องจากมันเป็นฤดูฝนเนาะ ดังนั้นความเขียวชะอุ่มและความสดชื่นจึงทำให้การเดินทางครั้งนี้มีแต่ความสุขและความสบายใจ จากอำเภอนาหมื่นเราเดินทางไปถึงท่าเรือปากนาย เพื่อที่จะนำเรือลงโป๊ะและข้ามฟากจาก อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน ไปยัง บ้านท่าแฝก อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ ระหว่างรอเรือแพขนานยนต์ที่สามารถบรรทุกรถได้ 2-3 คัน (ตอนเราลงไปรู้สึกจะมีรถลงไป 2 คันค่ะ) ค่าเรือข้ามฟาก 300 บาท ก็ตื่นเต้นใช้ได้ทีเดียว และถ้าใครยังไม่ทานข้าว ที่ท่าเรือมีร้านอาหารบริการ นอกจากนั้นก็มีชาวบ้านเอาของป่าเช่น หน่อไม้ หรือเห็ดมาขายริมฝั่งด้วยค่ะ หลังจากเอาเรือลงโป๊ะและข้ามฟากจาก อำเภอนาหมื่น จังหวัดน่าน ไปยัง บ้านท่าแฝก อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์ เราก็พึ่งบรรลุว่าแม่น้ำที่เราข้ามมานั้นคือ พื้นที่ของ "เขื่อนสิริกิติ์" นั่นเองค่ะ ดีที่ไม่ได้เล่าให้ใครฟังไม่อย่างนั้นคงได้ปล่อยไก่ไปหลายเล้าเลยทีเดียว เมื่อออกจากฝั่งเขื่อนสิริกิติ์แล้วเราก็เดินทางต่อ เพื่อจะกลับบ้าน ระหว่างการเดินทางผานอำเภอคลองตรอน จังหวัดอุตรดิตถ์ เราเห็นป้าย "อุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่" ก็เลยอยากแวะดูว่ามีอะไร และพบว่าที่นี่สมชื่อว่าอุทยานแห่งชาติต้นสักใหญ่ เพราะมีต้นสักใหญ่และมีอายุเก่าแก่หลายร้อยปี และได้ชื่อว่าเป็นต้นสักที่ใหญ่ที่สุดในโลก ต้นสักใหญ่นี้ได้ถูกค้นพบเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2470 โดยมีอายุประมาณ 1,500 ปี และได้มีการวัดความยาวรอบต้น เมื่อ พ.ศ. 2543 ว่ามีขนาด 1,007 เซนติเมตร และเพื่อเป็นการรักษาอายุของต้นสักต้นนี้ กรมป่าไม้จึงได้ทำทางเดินล้อมรอบต้นสัก เพื่อไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปใกล้และเหยียบย่ำราก หรือเข้าไปใกล้ต้นสัก เมื่อผู้เขียนได้กลับบ้านไปเล่าให้คุณพ่อของผู้เขียนฟัง คุณพ่อเล่าว่าเมื่อสมัยหนุ่ม ๆ ตอนทำงานที่กรมทางหลวง เคยมาตั้งแค้มป์เพื่ออบรมเกี่ยวกับการขับเครื่องจักรต่าง ๆ อยู่ที่นี่ ต้นสักอยู่ที่นี่มีสองต้นคู่กัน และมีน้ำตกอยู่ใกล้ ๆ พวกหนุ่ม ๆ เคยไปอาศัยอาบน้ำที่น้ำตกแห่งนั้น ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่าต้นสักที่คู่กันนั้นน่าจะหักโค่นไปนานแล้ว เพราะเห็นแต่ตออยู่ข้าง ๆ และด้วยความไม่ทราบประวัติที่มาจึงไม่ได้ถ่ายรูประยะไกลเอาไว้ และเราสองคนปักหมุดเอาไว้ว่าหากมีโอกาสในคราวหน้าเราอาจจะมาตั้งแคมป์เพื่อย้อนรอยอดีตของคุณพ่อสมัยหนุ่ม ๆ ที่อุทยานแห่งชาติแห่งนี้อีกครั้ง เรื่องและภาพ โดยผู้เขียน