รีเซต

ตำนานล่าแม่มด แห่งซาเลม การไต่สวนที่น่าพรั่นพรึงที่สุดในประวัติศาสตร์

ตำนานล่าแม่มด แห่งซาเลม การไต่สวนที่น่าพรั่นพรึงที่สุดในประวัติศาสตร์
แมวหง่าว
30 ตุลาคม 2561 ( 10:40 )
54.9K
6

     พูดถึงแม่มด ผู้คนในยุคนี้อาจนึกไปถึงแม่มดสาวสวมผ้าคลุม ร่ายเวทมนตร์ด้วยไม้กายสิทธิ์ เสกคาถาทำอะไรได้สารพัดอย่าง แต่กับชาวอเมริกันแล้ว คำว่าแม่มดกลับจะทำให้หวนนึกถึงประวัติศาสตร์อันน่าหดหู่ใจมากที่สุดครั้งหนึ่ง ที่รู้จักกันในชื่อ "การไต่สวนคดีแม่มดแห่งซาเลม" (Salem Witch Trials) ที่เกิดขึ้นระหว่างปี 1692-1693 หรือเมื่อประมาณ 300 กว่าปีที่แล้ว

 

 

     เมืองซาเลมนั้นอยู่ที่รัฐแมสสาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยกลุ่มผู้อพยพชาวพิวริแตนอังกฤษ พวกเขาปกครองตนเองโดยมีศูนย์กลางของชุมชนอยู่ที่โบสถ์ และดำเนินชีวิตด้วยความหวาดกลัวต่อสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ ในแผ่นดินใหม่นี้

 

     เหตุการณ์ไต่สวนครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อมีเด็กสาวในหมู่บ้าน เบตตี แพร์ริส เริ่มมีอาการชัก ส่งเสียงกรีดร้อง โวยวายว่าถูกเข็มแทง และเจ็บตามร่างกาย ตามมาด้วยเด็กสาวอีก 2 คน อาบิเกล วิลเลียมส์ และแอน พัตแนม ทั้งหมดตะโกนคำพูดที่ฟังไม่ได้ศัพท์ออกมา บาทหลวง และหมอใต่างพากันหวาดวิตก และด้วยผู้คนในสมัยนั้นยังมีความรู้ความเข้าใจด้านชีววิทยา การแพทย์ และจิตวิทยาในระดับพื้นฐานเท่านั้น จึงสรุปว่าเด็กทั้ง 3 นั้นโดนคำสาปของ "แม่มด"

 

Public Domain

 

     ปฏิบัติการล่าแม่มดจึงเริ่มเปิดฉากขึ้น โดยให้เด็กๆ ชี้ตัวผู้ต้องสงสัย บ้างก็ว่าบาทหลวงใช้วิธีบีบบังคับให้กล่าวหาผู้หญิงที่เข้ากับคนสังคมไม่ค่อยได้ เริ่มจาก "ซาราห์ กู้ด" ขอทานหญิงเร่ร่อน "ซาราห์ ออสเบิร์น" หญิงชราที่ป่วยจนไม่ค่อยไปโบสถ์ และ "ทิทูบา" ทาสหญิงผิวดำจากบาร์เบโดส ซึ่งถูกกล่าวหาว่าสอนวิชาแม่มด และใช้มนตร์ดำ

 

Public Domain

 

     หลังจากนั้น เด็กๆ ก็เริ่มไล่ชื่อหญิงสาวในเมืองมาทีละคน ทีละคน เจ้าหน้าที่สอบสวนก็จะเริ่มไปเยือนบ้านทีละหลัง ชาวเมืองล้วนเกิดความหวาดกลัว และระแวงซึ่งกันและกัน ต่างคนต่างพากันชี้ตัวแม่มดเพื่อให้ตนเองพ้นความผิด จนภายหลังนั้นผู้คนก็ใช้การล่าแม่มดเป็นเครื่องมือในการกล่าวหา และกำจัดคนที่แตกต่างจากพวกตน คนเร่ร่อน ไปจนถึงคนที่เกลียดกันเอง สรุปทั้งสิ้นมีผู้ถูกจับข้อหาเป็นแม่มดทั้งหมดกว่าร้อยคน มีทั้งผู้หญิง และชายที่พวกเขาคิดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็ไม่ละเว้น

 

     มีการตั้งศาลพิเศษขึ้นมาไว้สำหรับการไต่สวนในครั้งนี้โดยเฉพาะ โดยนำกฎหมายของอังกฤษที่บังคับใช้ในอาณานิคมนิวอิงแลนด์ บัญญัติให้การเป็นแม่มดเป็นความผิดร้ายแรงถึงประหารด้วยการแขวนคอ

 

 

     เคหาสน์แม่มดซาเลม ซึ่งเป็นบ้านของผู้พิพากษาจอมแขวนคอ โจนาทาน คอร์วิน เป็นอาคารเพียงแห่งเดียวที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การล่าแม่มดแห่งซาเลม ปี 1692 โดยตรง ที่ยังหลงเหลืออยู่

 

     การพิจารณาคดีดำเนินไปในลักษณะที่ว่า ใครยอมรับสารภาพ และซัดทอดไปถึงคนอื่นว่าเป็นแม่มด ก็จะได้รับโทษเพียงเล็กน้อย และถูกปล่อยตัวไป ส่วนใครที่ต้องการยืนยันตนว่าบริสุทธิ์ ไม่ซัดทอดคนอื่น แต่ไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ตัวเองได้นั้น...

     ปลายทางของพวกเธอคือวิธีการ "ทรมาน" นั่นเอง

 

     วิธีการทรมานเพื่อให้เหยื่อเจ็บปวดจนต้องยอมรับสารภาพนั้นก็มีหลากหลายสารพัด หนึ่งในวิธีที่ผู้พิพากษาคอร์วินชื่นชอบมากที่สุด ก็คือการรัดคอเหยื่อ ไล่มาตามตัวจนถึงข้อเท้าแล้วปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้น จนกระทั่งเหยื่อเริ่มเลือดออกจากจมูกจนทนไม่ได้

 

Public Domain

 

     อีกหนึ่งวิธีทรมานอันน่าสยองก็คือ การจับคนมานอนแล้วค่อยๆ วางก้อนหินทับบนอกไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะ ไจลส์ คอรีย์ เศรษฐีชาวไร่ที่ถูกตัดสินประหารด้วยวิธีนี้ เพราะเขาปฏิเสธที่จะรับสารภาพว่าใช้เวทมนตร์ร่วมกับภรรยา ซึ่งสุดท้ายเขาก็เสียชีวิต ส่วนภรรยาก็ถูกนำตัวมาแขวนคอตายเช่นกัน หลังจากนั้นทรัพย์สินมหาศาลของคอรีย์ก็ถูกยึด และแบ่งส่วนกันในหมู่ลูกขุน และตุลาการของเมือง

 

     รวมทั้งหมด 19 คนที่ถูกตัดสินว่าเป็นแม่มด และประหารชีวิตโดยตัวไปแขวนคอที่เนินเขาแกลโลว์สฮิลล์ มีผู้ถูกคุมขัง 5 คน รวมทั้งเด็กทารกหนึ่งคนเสียชีวิตลงในคุก ยังไม่รวมผู้ที่ถูกทรมานจนตายอีกหลายชีวิต

 


Governor Sir William Phips(1651–1695)

 

     เรื่องไปถึงผู้ว่าการรัฐ วิลเลียม ฟิปส์ เขาจึงสั่งระงับศาลพิเศษ และตั้งศาลสูงสุด (Supreme Court of Judicature) แห่งใหม่ขึ้นมาแทน และยังห้ามไม่ให้นำหลักฐานที่เรียกว่า หลักฐานความฝันและนิมิต (Spectral Evidence) มาใช้ ศาลสูงสุดตัดสินลงโทษจำเลยเพียง 3 คน จาก 56 คน ซึ่งฟิปส์ก็อภัยโทษให้ทั้ง 3 คน พร้อมนักโทษอีก 5 คนที่กำลังรอการประหารชีวิต

 

     กระทั่งเดือนพฤษภาคม ปี 1693 ผู้ถูกไต่สวนทุกคนได้รับการตัดสินว่าไม่มีความผิด และถูกปล่อยตัวไป จนสิ้นเดือนมีนาคม ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดก็ไม่มีใครถูกคุมขังแล้ว การไต่สวนล่าแม่มดแห่งซาเลมจึงปิดฉากลงในที่สุด

 

     ในเวลาต่อมา ก็ได้มีการรื้อฟื้น และแก้ต่างให้ผู้ถูกกล่าวหาในคดีแม่มดซาเลม จนปี 1706 "แอน พัตแนม" หนึ่งในสามของเด็กหญิงที่กล่าวหาผู้คนมากมายตั้งแต่ต้น ก็ยอมรับสารภาพว่าตนเองโกหก และเป็นพยานเท็จ โดยอ้างว่าทั้งหมดเป็นการล่อลวงจากซาตาน

 

Dee Browning / Shutterstock.com

 

     ปี 1711 รัฐบาลแมสซาชูเส็ตต์ก็ผ่านกฎหมายนิรโทษกรรม และยกเลิกผลของการดำเนินคดีไต่สวนแม่มดที่เคยเกิดขึ้นในปี 1692 สภานิติบัญญัติจึงผ่านรัฐบัญญัติให้ลบล้างมลทินผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดและได้รับโทษประหาร อีกทั้งจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกหลานของคนเหล่านั้นทั้งหมด

 

Dee Browning / Shutterstock.com

 

     ปัจจุบันนี้ เมืองซาเลมกลับขึ้นมามีชีวิตชีวา เป็นแหล่งศูนย์รวมของผู้ที่ชื่นชอบเรื่องไสยศาสตร์ลี้ลับ เวทมนตร์ต่างๆ กลายเป็นว่าเมืองที่เคยล่าแม่มดในอดีตนั้นกลับเฟื่องฟูกลายเป็นเมืองแม่มดจริงๆ ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย โดยเฉพาะที่สุสานของเมือง ซึ่งมีอนุสรณ์สถานการล่าแม่มดแห่งปี 1692 เป็นลานหญ้าปลูกต้นไม้ 19 ต้น แทนผู้ที่ถูกประหารด้วยการแขวนคอ อยู่ข้างสุสาน

 

     ชาวเมือง และพ่อค้าแม่ค้าที่นี่ต่างก็สวมชุดแต่งกายย้อนยุคให้เข้ากับบรรยากาศ มีทัวร์เล่าเรื่องผียามค่ำคืนให้ผู้สนใจเดินไปตามสุสาน ลานประหารเก่า และมีงานเทศกาลแม่มดจัดอย่างยิ่งใหญ่ในช่วงฮัลโลวีนอีกด้วย

====================