การกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดทุกครั้งของผู้เขียนมักพกพาความรู้สึกของการเป็นคนพลัด ผู้อพยพ คนไกลบ้าน คนต่างจังหวัด คนบ้านนอก คนชายขอบห่อกลับไปด้วยทุกครั้ง สถานะต่างๆ ที่ว่ามาเป็นสิ่งที่โอบกอดเอาไว้ทั้งหมดเพราะคือตัวตนของผู้เขียน เมื่อถึงบ้านเกิดอีกสถานะที่เพิ่มเติมมาคือการเป็นนักท่องเที่ยวในบ้านของตัวเอง การเป็นคนในและพาตัวเองออกไปเป็นคนนอก ทำให้มองเห็นบ้านเกิดเมืองนอนผ่านช่องว่างของกาลเวลาแห่งยุคสมัย ผู้เขียนไปเดินเล่นเพื่อเก็บภาพห้องแถวเรือนไม้เก่าของตลาดท่าพระ จังหวัดขอนแก่นในตอนเย็นของวันหนึ่งช่วงกลับไปเยี่ยมบ้านซึ่งเป็นเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดินประมาณหนึ่งชั่วโมง ร้านค้าที่เป็นเรือนห้องแถวสองชั้นปิดเกือบทุกร้าน จึงได้เดินชมเพื่อรื้อความทรงจำวัยเด็กกับตลาดท่าพระที่มีร้านของชาวจีนโพ้นทะเลทำมาค้าขายในตลาด คนในชุมชนก็อยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัย สามารถซื้อเสื้อผ้าของกินของใช้แบบ “เชื่อ” ไว้ก่อนได้ ร้านตัดผม ร้านขายยา เสียดายว่าร้านที่เคยทำตู้เสื้อผ้าแบบสมัยก่อนตอนนี้ไม่มีแล้ว จะเห็นช่างฝีมือท้องถิ่นทำตู้เสื้อผ้าไม้อยู่ที่ห้องแถวชั้นเดียว ภาพวาดบนกำแพงซึ่งเพิ่งมีมาไม่กี่ปีเพื่อเฉลิมฉลองในวาระตลาดท่าพระครบรอบ 100 ปี ได้เป็นพื้นที่บันทึกภาพวาดรถเมล์หรือรถโดยสารประจำทาง “ท่าพระ-ขอนแก่น” เป็นรถเมล์สีเขียวคาดเหลือง ตอนนี้เปลี่ยนเป็นรถสองแถวหมดแล้ว และคนในท้องถิ่นมีรถยนต์ส่วนตัวกันมากขึ้น ทำให้ความถี่ในการบริการของรถสาธารณะลดลง ผู้โดยสารก็ลดลง จึงต่างเมื่อก่อนที่พวกเราต่างต้องพึ่งพารถเมล์ในการเดินทางไป-กลับท่าพระกับในเมือง แต่ก็เป็นความต่างที่ทำให้ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจของผู้คน ชุมชน และความเป็นเมืองที่ขยับออกมายังชานเมือง ผู้เขียนพบคนในชุมชนหลายคนที่คุ้นเคยและรู้จัก บางคนเข้าสู่วัยกลางคน บางคนล่วงเข้าวัยผู้สูงอายุ เรือนห้องแถวไม้บางจุดถูกปล่อยร้างจนรู้สึกเหงาอ้างว้างไปกับเรือนห้องแถว หลายหลังทำการบูรณะใหม่ ซ่อมแซม ปรับปรุง สิ่งที่มีชีวิตชีวาที่สุดอีกที่ของชุมชนท่าพระสมัยก่อนคือตลาดสดตอนเช้าที่เต็มไปด้วยอาหารสด อาหารแห้ง ดอกไม้ ขนม สถานีรถไฟท่าพระ ฝูงแพะ ฝูงวัว ตอนเป็นเด็กผู้เขียนไม่รู้จักคำว่าพหุวัฒนธรรมกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ พวกเราอยู่ร่วมกันเพียงแค่รู้ว่า นี่เจ๊ก นี่แขก นี่ลาวหรือคนอีสาน เราเรียกขานกันด้วยชาติพันธุ์อันเป็นการบ่งบอกถึงความเป็นกันเอง สนิทสนมกัน ไม่ใช่เป็นคำเรียกที่กินความเป็นการเหยียดกันแต่อย่างใด ชุมชนท่าพระของพวกเราอยู่ร่วมกัน พึ่งพา และถ้อยทีถ้อยอาศัยจะเห็นได้จากเวลามีงานบุญ งานประเพณี งานของชุมชน พวกเราต่างร่วมแรงร่วมใจ แม้เวลาจะล่วงผ่านไปร้อยปีของพื้นที่ แต่ในวันที่แสงอาทิตย์โปรยลา ความเงียบของบรรยากาศได้ปลุกให้ความทรงจำต่างๆ ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งเมื่อนั่งมองเรือนไม้ห้องแถวเก่า ผู้เขียนมองเห็นชีวิตที่ขยับเขยื้อนหลังประตูเหล็กทุกบาน ความรู้สึกเล่าเรื่องได้ดีที่สุดเสมอ และความทรงจำเป็นเครื่องประดับการใช้ชีวิตที่ระยิบระยับแพรวพราว