เมื่อวันหยุด 3 วันติด จะให้นั่งนอนที่บ้านเฉยๆ ก็กลัวไม่คุ้ม จึงต้องออกเดินทางสักที่เพื่อเพิ่มแรงใจและเพื่อความคุ้มค่าที่ได้หยุด และเป้าหมายก็มาจบที่พัทลุงไม่ใกล้ไม่ไกล โชคดีที่เพื่อนคนหนึ่งเออออเห็นด้วยจึงทำให้การเดินทางครั้งนี้ไม่เหงาอย่างที่คิด เพราะมีเพื่อนร่วมทางแล้ว วันแรก ในเช้าวันใหม่พวกเราแหกขี้ตาตื่นด้วยความตื่นเต้น อาบน้ำแต่งตัวจนพอใจแล้วก็รีบออกเดินทางเพื่อไปสถานีรถไฟหาดใหญ่ เพื่อให้ทันรถไฟหาดใหญ่-พัทลุงในเวลา 6.40 น. และแน่นอนว่าทัน หลับๆตื่นๆบนรถไฟไปหลายตลบ และก็มาถึงสถานีรถไฟพัทลุงในเวลาประมาณ 9 โมงเช้า ใกล้ๆสถานีรถไฟจะเป็นเมืองพัทลุงจึงทำให้ผู้คนพลุกพล่านตลอดเวลา พวกเราเดินไปหาอาหารเช้าอย่างสนุกสนาน รู้สึกตื่นเต้นกับความคึกคักของผู้คน เมื่อเติมพลังกายจนเต็มอิ่มก็ได้เวลากับเป้าหมายแรกของวันนี้นั่นก็คือเขาอกทะลุนั่นเองงงงงง "สตรีทอาร์ตรอบเมือง" โชคดีที่เขาอกทะลุตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก จึงทำให้สามารถเดินเท้าไปเองได้ และเพื่อได้ดื่มด่ำบรรยากาศของผู้คนที่นี่ด้วย เดินมาสักพักจนได้เหงื่อก็ถึงที่หมาย ต่อจากนี้จะเป็นของจริง เพราะการที่จะไปถึงจุดยอดสุดของเขาอกทะลุนั้น จะต้องเดินขึ้นบันไดทั้งหมด 1,066 ขั้น ไป-กลับก็ 2,000 กว่าขั้นเท่านั้นเอง มาถึงขนาดนี้แล้วก็ต้องไปให้สุด ระหว่างทางแรกๆก็มีบทสนทนาตลอดทาง ด้วยความที่ไม่ค่อยมีผู้คน และระหว่างทางก็เป็นต้นไม้เงียบวังเวงมาก จึงพยายามที่จะให้มีเสียงไปเรื่อยๆ แต่สักพักก็เปลี่ยนจากเสียงพูดเป็นเสียงหอบหายใจแทน ด้วยเส้นทางไม่มีเป็นทางเรียบเลย มีแต่ชันน้อยและชันมากเท่านั้น จนในที่สุดก็ถึงที่หมาย ความรู้สึกคือยิ่งใหญ่มาก เราทำมันได้ แม้ว่าบนนี้มันไม่มีอะไรให้น่าตื่นตาเลยก็ตาม แต่ถ้าไม่มาก็จะไม่รู้ สิ่งที่ได้กลับไปคือความเหนื่อยหอบ เหงื่อท่วมตัวและความสุขที่ได้พิชิตมันเท่านั้นเอง "บันไดระหว่างทาง" "วิวระหว่างทาง" "เขาอกทะลุในจุดสูงสุด" อยู่ได้สักพักก็ได้เวลากลับ แต่ดีหน่อยที่เป็นขาลงอาจจะไม่เหนื่อยเท่าขาขึ้นก็ได้มั้ง และโชคดีคูณสองเมื่อพวกเราลงมาถึงตีนเขา มีนักศึกษา3คนซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับที่เราเจอบนเขาและพวกเขากำลังจะกลับเข้าเมือง คงจะเอ็นดูพวกเราที่ต้องเดินกลับเลยชวนซ้อนท้ายไปด้วย ส่วนเราทั้งคู่รีบตอบรับคำชวนทันที เย้ๆ แล้วพวกเราก็เข้าเมืองอีกครั้งโดยทีไม่เหนื่อยเลย จากนั้นก็ไปหาอาหารเที่ยงแล้วช็อปปิ้งอีกหน่อย รู้ตัวอีกก็จะบ่ายสองละ จากนั้นก็เดินกันต่อเพื่อไปรอรถสองแถวที่คิวรถ เป้าหมายถัดไปกงหรานั่นเอง ที่นี่มีบ้านเพื่อนและจะเป็นที่ซุกหัวนอนให้พวกเรานั่นเอง นั่งดูรถสองแถวผ่านไปคันแล้วคันเล่า ผ่านไป30นาทีรถที่รอก็มาถึง น้ำตาจะไหล จากนั้นก็นั่งรถ2ชั่วโมงเต็มๆจนก้นชาสุดๆ เมื่อถึงบ้านเพื่อนสิ่งแรกที่ทำไม่ใช่การนั่งพักให้หายเหนื่อย แต่เป็นการซ้อนมอเตอร์ไซค์เพื่อไปเที่ยวกันต่อโดยไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยกันจริงๆ ที่สุดท้ายของวันนี้คืออ่างเก็บน้ำเขื่อนหัวช้าง อยากบอกว่าที่นี่สวยมากกก ผู้คนไม่เยอะเท่าไหร่ แล้วยิ่งเวลาใกล้พระอาทิตย์จะตกอย่างนี้ ยิ่งขับให้สถานที่แห่งนี้มีมนต์ขลังตราตรึงใจจนไม่อยากกลับเลย "บรรยากาศรอบๆ" "ที่เก็บน้ำ" "ก่อนพระอาทิตย์จะตก" เมื่อแสงพระอาทิตย์หมดไป และแทนที่ด้วยแสงจากหลอดไฟ พวกเราก็รีบบึ่งรถกลับบ้านก่อนที่จะมืดมากกว่านี้ ในคืนนี้สิ่งที่ทำไม่มีอะไรมาก คือการกินข้าว อาบน้ำ และนอนเท่านั้น วันนี้เดินทางเหนื่อยจริงๆ ถ้าไม่เพลียก็โคตรอึดมาก แต่อีกเหตุผลที่ต้องรีบเข้านอนก็เพราะว่าในวันพรุ่งนี้พวกเราจะต้องออกจากบ้านตั้งแต่ตี 5 ราตรีสวัสดิ์หมดไปอีกวัน วันที่สอง วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องแหกขี้ตาตื่นอีกแล้ว ปวดเนื้อปวดตัวและทรมานใจสุดๆ เป้าหมายแรกของวันคือ ควนนกเต้นนั่นเอง ที่เที่ยวที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ออกจากบ้านตี5ตามที่ตั้งใจ บรรยากาศรอบๆหนาวเข้ากระดูกเลย น้ำมูกไหลพรากๆ ด้วยความที่อากาศเย็นรวมกับหมอกหนาๆ แต่แค่นึกถึงเป้าหมายที่กำลังจะไปเท่านี้โลกนี้ก็สดใสขึ้นมาทันที ฮ่าๆๆ สักพักใหญ่ๆก็ถึงตีนเขา และต้องจอดรถไว้ที่นี่เท่านั้น จากนั้นจะมีรถบริการพาขึ้นไปถึงที่ หรือใครจะอินดี้ก็สามารถเดินขึ้นเองก็ได้ ส่วนพวกเราเลือกขึ้นรถแน่นอน แม้จะไม่เหนื่อยแต่ก็ตื่นเต้นและหวาดเสียวตลอดทางเหมือนกัน เพราะเป็นเนินล้วนๆ "ตั๋วขึ้นรถ" "ควนนกเต้น" เนื่องจากเป็นวันหยุดจึงทำให้ผู้คนหนาแน่นมาก เต็มทุกที่นั่ง เดินไปชนไป จะถ่ายรูปแบบไพรเวทก็ยากลำบากเลยเอาเท่าที่ได้ ถือเป็นสีสันของการเดินทาง "ร้านอาหาร" "เช้าๆกับวันหมอกหนา" "มุมถ่ายสุดชิค" ประมาณ200เมตรจากควนนกเต้น จะมีอีกที่หนึ่งที่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นได้เหมือนกัน โดยสามารถเดินเท้าไปได้นั่นคือ ภูรุ่งแจ้ง ที่นี่ไม่ได้ต่างจากควนนกเต้นเท่าไหร่คือมีที่พัก มีร้านอาหารเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ภูรุ่งแจ้งจะอยู่ในระดับต่ำกว่าควนนกเต้นสักเล็กน้อยเท่านั้น "ภูรุ่งแจ้ง" ประมาณสายๆเกือบเที่ยง ก็ออกจากที่นั่น เป้าหมายต่อไปเจ้าถิ่นเป็นคนพาไป เป็นที่ที่ไปศึกษาวิถีผู้คนในชุมชน ซึ่งก็คือท้องนานั่นเอง แต่ที่พิเศษคือมีการจัดตกแต่งให้เป็นที่ท่องเที่ยวและสามารถถ่ายรูปสวยๆได้ "เรียนรู้วิถีชุมชนกงหรา" "บรรยากาศโดยรวม" ประมาณบ่ายสองก็ออกจากที่นั่นเป้าหมายถัดไปคือบ้านเพื่อนของเพื่อนนั่นเอง เนื่องด้วยไม่ได้เจอกันนานและไม่ได้มานานแล้วจึงทำให้สนุกสนานกับการลองผิดลองถูกกับเส้นทางไปบ้านเพื่อน แต่สุดท้ายก็มาถึงจนได้ อยู่ได้สักพักก็ต้องขอตัวกลับก่อน เนื่องจากเส้นทางอีกไกล เมื่อขับมาถึงใกล้บ้าน เพื่อนเจ้าถิ่นเพิ่งนึกได้ว่ามีงานมัสยิดคล้ายๆกับถนนคนเดินนี่แหละ จึงบิดรถไปกันต่อ ที่งานมัสยิดประจำปีนี้ส่วนใหญ่เป็นพวกเสื้อผ้าและของกินล้วนๆ และของกินก็เป็นที่ถูกใจยิ่ง เพราะมีของหลากหลายให้เลือก บางอย่างก็ไม่เคยเห็นมาก่อนก็มี เดินไปสักพักรู้สึกร่างกายจะไม่ไหว เลยต้องพากันกลับทันที และกิจวัตรของคืนนี้คือ กิน อาบน้ำแล้วก็เข้านอนทันที ราตรีสวัสดิ์ไปอีกคืน วันที่สาม วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วเลยเลือกที่จะไม่ออกไปไหนไกล นอกจากตลาดใกล้ๆบ้าน เลือกที่จะตื่นสายและขลุกอยู่ที่บ้านอย่างเดียว ได้มีเวลาพูดคุยกันอย่างจริงจังสักที โม้กันยาวเหยียดรู้ตัวอีกทีก็เที่ยงแล้ว จากนั้นเพื่อนก็ขี่รถมาส่งพวกเราทั้งสองขึ้นรถตู้กลับหาดใหญ่โดยสวัสดิภาพ และไม่ลืมที่จะเน้นย้ำว่ายินดีต้อนรับเสมอ ส่วนพวกเราก็กล่าวขอบคุณที่ดูแลอย่างดีทั้งสามวันประทับใจมากๆ เป็นการเดินทางที่สูบเรี่ยวสูบแรงไปจริงๆ เที่ยวอย่างบ้าคลั่งแล้วกลับมาสลบที่รังทุกคืน เหนื่อยแต่สนุก เพราะรู้ว่าไม่ได้มีโอกาสทำอย่างนี้ทุกวัน มันแค่นานๆครั้งจึงเลือกที่จะเต็มที่กับมัน ถ้ามีโอกาสอีกก็อยากไปเดินทางอีกนะ