เมืองเก่าเล่าใหม่ วันนี้เราจะพาไปชมสถานที่ท่องเที่ยว ๒ ที่ พร้อม ประวัติความรู้ เล็กๆน้อยๆ ก่อนจะออกเดินทางไปเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ ไกลจาก กรุงเทพมหานครกันนะครับที่แรกที่เราจะพาไปได้แก่ วัดใหญ่ชัยมงคล เดิมชื่อ "วัดป่าแก้ว" หรือ "วัดเจ้าไท" ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก เฉียงใต้ ของเกาะพระนคร ปัจจุบันเป็นพื้นที่ ตำบลคลองสวนพูล อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนประวัติความเป็นมา ของวัดนี้พอสังเขปนะครับ ตามประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) โปรดเกล้าให้สร้างพระเจดีย์ และพระวิหารขึ้นแล้วสถาปนาเป็นพระอาราม ในปี พ.ศ ๑๙๐๐ และพระราชทานนามว่า วัดป่าแก้ว วัดนี้เป็นที่สถิตของสมเด็จพระวันรัตน์ จึงได้นามว่า วัดเจ้าพระยาไทอีกชื่อหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าเป็นวัดของอธิบดีสงฆ์ หรือพระสังฆราช ต่อมาในปี พงศ. ๒๑๓๕ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช โปรดเกล้า ให้สร้างพระเจดีย์ใหญ่ขึ้น ตามคำทูลแนะนำของสมเด็จพระวันรัตน์ที่อยู่ณ.วัดป่าแก้ว เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแห่งชัยชนะในการกระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชาแห่งพม่า พระเจดีย์องค์นี้มีชื่อว่า พระเจดีย์ชัยมงคล ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่าพระเจดีย์ใหญ่ เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไปจึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "วัดใหญ่ชัยมงคล" ในอดีตมักจะมีเรื่องราวอาถรรพ์เกี่ยวกับสถานที่นั้น ๆ เสมอเรื่องมีอยู่ว่า ได้มีพระธุดงค์มาปักกลดแสวงหาที่ปฎิบัติธรรมอยู่เป็นประจำที่วัดนี้ สมัยนั้นเล่ากันว่าบริเวณวัดมีแต่ต้นไม้ขึ้นมากมายทั้งต้นไม้ใหญ่ เล็ก แลเต็มไปด้วยสัตว์ร้าย เช่น งูเหลือม งูจงอาง แลสัตว์ร้ายอื่น ๆ เป็นสถานที่อันตรายเปลี่ยว และยังลือกันว่า "ผีดุมาก" จนชาวบ้านไม่กล้าที่จะเข้าไป แต่ก็ยังมีพระภิกษุรูปหนึ่ง ใช้สถานที่นี้เป็นที่ปักกลดท่านคือ "หลวงปู่สีโห" พระป่ากรรมฐาน ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิด หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พรมปรมาจารย์กรรมฐานแห่งภาคอีสาน "หลวง ปู่สีโห" ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่มั่นรุ่นเดียวกัน กับหลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงปู่ขาว อนาลโย และหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านเป็นพระที่เคร่งในพระธรรมวินัย แต่ไม่ชอบอยู่วัดเพราะท่านรักที่จะอยู่ตามป่า ท่านเป็นพระที่มีชื่อเสียงในทาง "วิปัสสนากรรมฐาน" มากจนได้รับการยกย่องว่า มีเมตตาและพลังจิตแก่กล้า มีอำนาจแห่งอิทธิฤทธิ์ และอภิญญา จึงได้เข้ามาปักกลดในที่นี้ได้ ปัจจุบันวัดนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาส่วนสถาปัตยกรรมภายในวัดที่น่าสนใจได้แก่ พระเจดีย์ชัยมงคล อุโบสถ วิหารพระนอน พระบรมราชาอนุสาวรีย์พระนเรศวรมหาราช เวลาทำ การเปิดทุกวัน เวลา ๐๘.๐๐ - ๑๗.๐๐น. ค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ และเด็ก ๒๐ บาท / คนไทย ผู้ใหญ่ และเด็กไม่เสียค่าเข้าชม ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่สองของเราคือ วัดที่มีพระองค์โตอันงดงามอยู่ในอาราม ซึ่งเป็นที่เคราพบูชาของคนในระแวกนั้น "วัดพนัญเชิง" มีชื่อเสียงระบือไปทั่วประเทศโดยเฉพาะหลวงพ่อโต หรือ "เจ้าพ่อซำปอกง" ที่พุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทย และชาวจีน ต่างชาติให้ความเคารพนับถือมาช้านาน "วัดพนัญเชิง" เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนาน ก่อสร้างก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาและไม่ปรากฎหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง กล่าวว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้าง และพระราชทานนามว่า วัดเจ้าพระนางเชิงและในประวัติศาสตร์ ฉบับหลวงประเสริฐกล่าวไว้ว่า ได้มีการสถาปนาพระพุทธรูปพุทธชื่อ "พระเจ้าพแนงเชิง" เมื่อปี พ.ศ. ๑๘๖๗ ซึ่งก่อนพระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง ๒๖ ปี วัดนี้ก็เช่นกันมีเรื่องเล่าขานกันต่อ ๆ มา วัดพนัญเชิงมีศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ซึ่งพระนางถูกเชิญมาจากเมืองจีนเพื่อมาเป็นพระมเหสีของเจ้าชายสายน้ำผึ้งครั้งเรือได้ล่องมาถึงยังพระราชวังเจ้าชายสายน้ำผึ้งทรงให้พระนางนั่งรอที่เรือก่อน จะได้จัดขบวนมารับเสด็จลงจากเรือครั้งเมื่อขบวนรับเสด็จมาเจ้าชายสายน้ำผึ้งไม่ได้เด็จมาด้วยพระนางเสียพระทัยมากจึงบอกกับอมาตย์ที่มารับเด็จให้เชิญเจ้าชายมารับ แต่เจ้าชายไม่มา และรับสั่งอีกว่า "เมื่อมาถึงแล้วไม่ยอมขึ้นมาก็ให้อยู่ที่นั่นแล" และพอพรุ่งเช้าอีกวันเจ้าชายสายน้ำผึ้งได้เด็จมายังเรือพระทีนั่งพระนางได้ตัดพ้อต่อว่า พระนางสร้อยดอกหมากเสียใจมากจึงกลัดใจตาย เจ้าชายสายน้ำผึ้งเสียพระทัยมากจึงโปรดเกล้าให้อันเชิญศพพระนางมาพระราชธานเพลิงศพ รวมถึงสร้างวัดไว้เป็นอนุสรน์นั่นคือ "วัดพนัญเชิง" นั่นเอง ทุกวันนี้วัดนี้ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาตินิยมมาเที่ยวกันอย่างไม่ขาดสาย.