เช้าวันที่ 3 ก.ค.2560 เวลา 5.39 น. ฤกษ์งามยามดี ล้อเริ่มหมุนจากบ่อสร้าง สันกำแพง เส้นทางการผจญภัยได้เริ่มต้นขึ้นแล้วค่ะ จาก จ.เชียงใหม่ เพื่อไปให้ถึง จ.สุรินทร์ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก หิวก็แวะกินข้างทาง ผ่านตรงไหนสวย ๆ ก็แวะถ่ายรูป วันนี้ฉันใช้เส้นทาง จ.เชียงใหม่ –อ.ลอง –จ.แพร่ – จ.อุตรดิตถ์ - จ.พิษณุโลก - จ.เพชรบรูณ์ (น้ำหนาว) สาเหตุที่ใช้เส้นทางนี้ เพราะไม่ค่อยมีรถบรรทุก มีภูเขาที่สวย ๆ โค้งงาม ๆ เหมาะแก่การเข้าโค้งมันส์ ๆ และอีกสาเหตุหนึ่ง เพราะฉันอยากแวะถ่ายรูปที่วัดผาซ่อนแก้ว จ.เพชรบูรณ์ เลยใช้เส้นทางนี้ค่ะ ถือว่าคุ้มค่ามากนะคะ เส้นทางธรรมชาติ ถนนสวยมาก ยิ่งตอนที่ขี่รถผ่านเขตอุทยานแห่งชาติ มีป้ายจราจรข้างทางเตือนให้ระวังช้าง เป็นระยะ ๆ อืมมม...ได้แต่คิดอยู่ในใจถ้าช้างมันโผล่มาจริงๆ จะทำไงดีล่ะ บอกตามตรงตอนนั้นไม่ได้คิดถึงเรื่องช้างเลยนะคะ ฮ่าฮ่าฮ่า เช้าถึงค่ำ 1 วันเต็ม ๆ เสร็จสิ้นภารกิจวันแรก เวลา 1 ทุ่ม ณ เมืองขอนแก่น กับระยะทาง 652 กิโลเมตร วันแรกของการเดินทาง และเป็นวันแรกที่ขี่มอเตอร์ไซค์ไกลที่สุดในชีวิตคนเดียว เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ค่ะ แต่มองไม่เห็นทางนี่สิเรื่องใหญ่ และเพื่อความปลอดภัยของสาวสวยอย่างเรา คืนนี้ขอนอนพักที่ขอนแก่นก่อนนะคะ ตอนแรกตั้งใจจะเดินออกไปชมเมือง ดูแสงสีเสียงบรรยากาศยามค่ำคืนของเมืองขอนแก่น และหาของอร่อย ๆ ทาน แต่ด้วยความเหนื่อยที่โดนทั้งแดด และลมมาทั้งวัน ก็เลยต้องสั่งข้าวมากินที่ห้อง คราวนี้ก็นอนยาวถึงเช้าเลยค่ะ ท้ายที่สุดของวันนี้ จะมาบอกข้อดีสำหรับผู้หญิงที่ชอบขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวคนเดียว คันเดียว คือเราจะแวะที่ไหนก็ได้ แล้วแต่อารมณ์ และทรงผมของเรา :) ในเมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียค่ะ ถึงแม้เราจะเป็นผู้หญิงสายสตรอง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่รถเสียก็ได้แต่ยืนร้องไห้อย่างเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า (มารยาหญิงช่วยได้) เช้าวันที่ 2 สำหรับการเดินทางทริปนี้ หลังจากที่ได้นอนพักผ่อนอย่างสบาย หลับเป็นตายเมื่อคืน เช้านี้อากาศดีมากค่ะ พร้อมออกเดินทางค่ะ!!! วันนี้เราจะเดินทางกันต่อเพื่อไปถึงจุดนัดหมายกับพี่ทูน นั่นก็คือที่ด่านช่องจอม จ.สุรินทร์ ค่ะ พอแพคของเสร็จ ฝนก็เริ่มลงเม็ด ฮ่าฮ่าฺฮ่า กว่าจะได้ออกขอนแก่น ก็สายแล้ว และกว่าจะหลุดออกจากขอนแก่นได้ก็แทบตายเพราะรถพี่เบิ้ม 10 ล้อ บนถนนมิตรภาพเยอะมากกกกก คิดอยู่ในใจถ้าขืนยังใช้เส้นทางนี้ คงหัวใจวายตายก่อนถึง จ.สุรินทร์แน่ ๆ เราก็เลยเปลี่ยนเส้นทางทันที พี่กูเกิ้ลเริ่มรู้งานอีกแล้วค่ะ พาวนเข้าหมู่บ้านนั้น ออกหมู่บ้านนี้ แต่ก็สนุกดีนะคะ ได้ลุยโคลน ลุยฝน ลุยฝุ่น ดีกว่าผจญภัยบนท้องถนนพร้อมกับพี่เบิ้ม 10 ล้อ แต่กว่าจะถึงที่หมาย อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ก็เย็นมากแล้ว พี่ทูนรออยู่ที่พักใกล้ๆ ด่านแล้วค่ะ เห็นว่าไปเดินช้อปชุดกันฝนมาแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า (ชุดกันฝนนี่จะเป็นเรื่องเล่าไปอีกยาว ใครอยากรู้ต้องติดตามอ่านกันต่อไปนะคะ) พักผ่อนนอนเอาแรงนะคะ พรุ่งนี้เราต้องทำเรื่อง และ เอกสารข้ามด่านแต่เช้า และพรุ่งนี้คงเป็นวันที่น่าตื่นเต้นสำหรับสาวขาแว๊นจากเชียงใหม่ จะข้ามไปกัมพูชาแล้วววว วันที่3 แล้วนะคะ ภารกิจข้ามประเทศได้เริ่มต้นตั้งแต่เช้า เอกสารสำคัญก็ไม่มีอะไรมากเลยค่ะ 1. คู่มือทะเบียนรถ ที่มีชื่อเราเป็นเจ้าของรถ 2. พาสปอร์ต ใช้สำหรับประทับตราเข้าออกประเทศ เราพำนักได้ 30 วัน ส่วนมอเตอร์ไซค์ ได้ 15 วัน 3. และขาที่สตรองทั้ง 2 ข้าง “ เดินไปแสตมป์พาสปอร์ตทางนู้นเลยครับ” “แล้วเดินมาทางนี้เลยนะครับ” “จ่ายค่าธรรมเนียมทางนู้นเลยนะครับ แล้วเดินกลับมาทางนี้อีกนะครับ” “...........” เฮ่อ...กว่าจะข้ามด่านออกจากประเทศไทยได้ ปาเข้าไปเกือบเที่ยงเลยค่ะ พอเข้าประเทศกัมพูชาปุ๊ป ก็ต้องเปลี่ยนเลนส์ไปขี่รถเลนส์ขวาเลยค่ะ ทริปนี้ถือว่าตัวเองโชคดีมากๆที่ได้พี่ทูนเป็นผู้นำที่ดี พี่ทูนผ่านประสบการณ์การขี่รถมาหลายประเทศมากค่ะ ส่วนน้องก็ขี่ตามอย่างเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า ☺ ถนนหนทางที่กัมพูชา คล้ายๆ กับบ้านเราเมื่อหลายสิบปีก่อน มีถนนกำลังสร้างหลายสาย แต่ถ้าออกนอกเมืองบางเส้นทางก็ยังเป็นแค่ทางลูกรัง ถนนดินแดงอยู่ ฝุ่นเยอะ ๆ รถบรรทุกคันใหญ่ ๆ วิ่งกันเร็วมากค่ะ ขี่มอเตอร์ไซค์ที่นี่ต้องมีตารอบหัว เพราะทุกอย่างโผล่มาให้เห็นได้ง่าย ๆ จากทุกสารทิศ ถนนที่นี่เรียบๆ เป็นทางตรง ๆ อย่างเดียวเลยค่ะ ที่สำคัญไม่ค่อยมีภูเขาแบบบ้านเรา เด็กดอยแบบเราเลยเกิดอาการเซ็งหน่อย ๆ  ข้ามมาฝั่งกัมพูชาปุ๊ป เราต้องแลกเงินกันก่อน เพราะที่กัมพูชาใช้เงิน US Dollar กันค่ะ แต่ถ้ามีเศษเล็กๆ ที่ต้องทอนเค้าก็จะทอนกันเป็น Cambodian Riel ของประเทศเค้าค่ะ มันก็จะเกิดอาการงง ๆ กันบ่อย ๆ ใช้ดอลล่าร์ง่ายที่สุดค่ะ ส่วนเงินเรียล ถ้ามีเยอะ ๆ พอถึงเวลาจ่ายเงินก็จะกางให้เค้าดูเลยค่ะ เลือกเอาเลยค่ะพี่ตามสบาย พี่จะเอาแบงค์ไหน ฮ่าฮ่าฮ่า จากด่านช่องจอม ถึง เสียมเรียบ ระยะทางแค่ 168 กิโลเมตร ถ้าคิดตามระยะทางจริง ๆ ก็ไม่ไกลมากนะคะ แต่เราใช้เวลาในการขี่รถนานมาก เราแวะพักทานมื้อเที่ยงกันที่เมือง Chong Kal Chong Kal ที่เมืองนี้ชาวบ้านยังพูดภาษาไทยกันได้บ้าง และใช้เงินบาทไทยกันด้วยค่ะ เพราะส่วนมากคนที่นี่ต่างเคยไปทำงานที่ประเทศไทย กว่าเราจะถึงเสียมเรียบก็บ่ายแก่ ๆ แล้ว เข้าเมืองเสียมเรียบปุ๊ป เราก็กลายเป็นบ้านนอกเข้ากรุงทันทีค่ะ ตื่นเต้น ๆ รถเยอะมากกกกกก ที่นี่ขับรถเลนส์ขวากันก็จริง แต่มันก็มากันได้ทุกทิศทาง สัญญาณไฟจราจรก็ไม่มีได้แต่ส่งเสียงกรี๊ดดดดดด ในหมวกกันน๊อคอยู่คนเดียว พอถึงที่พัก ลงจากรถปุ๊ปรีบบอกพี่ทูนทันที “พี่ทูน เราไม่ต้องไปพนมเปญกันแล้วไหม หัวใจจะวาย ที่นี่รถยังเยอะขนาดนี้ แล้วที่นั่นจะเป็นไงล่ะ เราเน้นเส้นทางธรรมชาติกันดีกว่านะคะ” “โอเค โอเค” “เฮ่อ...แค่นี้ก็ทำให้โล่งอกไปได้นิดนึง ขอบคุณค่ะ” คืนแรกในเมืองเสียมเรียบเราพักกันที่ Puma Khmer Saren Restaurant โฮสเทลกลางเมืองเลยค่ะ ชั้นล่างสุดทำเป็นร้านขายพิซซ่า กับส้มตำ เจ้าของเป็นคนไทย คุยไปคุยมาถึงได้รู้ว่าพี่เจ้าของร้านเป็นคนลำปาง งานนี้ก็อู้กำเมืองกั๋นม่วนเลยเจ้า คืนแรกที่เสียมเรียบนางก็เดิน Pub Street เลยค่ะ กรี๊ดๆๆๆๆๆ ฝรั่งหนุ่ม ๆ เพียบ ได้พูดภาษาอังกฤษแล้ววุ้ยยย หลังจากที่ต้องใช้ภาษาใบ้มาหลายชั่วโมง ฮ่าฮ่าฮ่า ส่วนพี่ทูนก็นั่งมองสาว ๆ ฝรั่งตามสไตล์พี่เค้า 3 วันเต็มกับการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์จากเชียงใหม่ ถึงเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นการเดินทาง หลังจากนี้ฉันกับพี่ทูน จะใช้เวลาทั้งหมด 15 วัน ขี่รถท่องเที่ยวทั่วกัมพูชา ทริปนี้เราเน้นท่องเที่ยวเมืองเล็ก ๆ เพื่อสัมผัสกับธรรมชาติ และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวกัมพูชา 3,266 กิโลเมตรกับเส้นทางไปกลับ เชียงใหม่ – กัมพูชา ครั้งแรกในชีวิตที่ออกนอกประเทศไทย ด้วยการขี่มอเตอร์ไซค์ไปด้วยตัวเอง มีหลาย ๆ คนถามว่าทำได้ยังไง ผู้หญิงตัวคนเดียว ขี่มอเตอร์ไซค์จากเชียงใหม่ ถึง จ.สุรินทร์ คำตอบคืออยู่ที่ใจค่ะ แค่มีใจที่มุ่งมั่นก็สามารถพาเราไปได้ทุกที่ ขอบคุณพี่ทูน และ RE ของพี่ที่เปิดโอกาสให้น้อง ร่วมผจญภัย ร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วยกันมาตั้ง 15 วัน ขอบคุณที่ร่วมกันลุยน้ำ ลุยโคลน ลุยฝน ลุยฝุ่นด้วยกันมา ขอบคุณที่สอนน้องในหลายเรื่อง และขอบคุณที่ช่วยดูแลน้อง แม้บางครั้งจะมีงอแงบ้าง การเดินทางในแต่ละครั้งย่อมมีวันสิ้นสุดลง เพื่อการเดินทางครั้งใหม่ จะได้เริ่มต้นอีกครั้ง วันนึงเส้นทางของเราคงได้มาบรรจบพบกันอีกครั้งนะคะ "ภาพถ่ายโดยนักเขียน"