แชร์ประสบการณ์ นั่งรถไฟญี่ปุ่น 20 กว่าขบวน ด้วย JR PASS
Words & Photo by Tamrong
ผมชอบนั่งรถไฟญี่ปุ่นครับ ไปทีไรก็ต้องไปนั่งรถไฟของเขาทูกที เพราะว่ามันสะดวกสบาย จากนอกเมืองนั่งมาไม่ทันไร ก็โผล่กลางเมือง การเชื่อมต่อกับสนามบิน, รถไฟใต้ดิน, รถบัส, รถทัวร์ก็สุดยอด ขึ้นโน่น ลงนี่ โผล่นู่น สะดวกจริงๆ
ลงจากสถานี เดิน 200 เมตร ก็ไปถึงโรงแรม โดดขึ้น โดดลงรถไฟได้ทุกวัน รถไฟญี่ปุ่น มันมีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์ มันมีเรื่องราว แต่ละขบวนก็มีธีมของมันเอง บางขบวนก็ขลัง บางขบวนก็สวยสง่า บางขบวนก็นั่งแล้วสนุกสนาน บางขบวนนั่งแล้วงงๆ แถมถ้าใช้ Rail pass นี่ วางแผนการเดินทางได้เป๊ะๆ แทบไม่มีพลาดเลยครับ
แม้จะนั่งมาไม่มาก ยังไม่ถึง 30% ของทั้งหมดที่เค้ามีเลย แต่ก็อยากเอามาแชร์ให้ชมครับ ว่ามันดียังไง เริ่ดตรงไหน เผื่อใครจะไปนั่งขบวนไหน จะได้เล็งๆ ได้ถูก เรื่องนี้เลยเป็นการรวมรูปจากที่เคยนั่งมาในหลายๆ ทริปนะครับ ไม่ใช่ทริปเดียว ถ้านั่งหมดนี่ได้ในทริปเดียว อีกหน่อยเค้าคงไม่ยอมขาย JR PASS ให้ผมแน่ๆ 555
เริ่มแรก พอลงเครื่องที่สนามบิน ก็มีเคาน์เตอร์แลกตั๋ว JR PASS ที่เราซื้อมาจากประเทศของเรากันในสนามบินส่วนใหญ่ครับ เช้าๆ คนไม่เยอะ แต่พอสายๆ คนเพียบ
จากสนามบิน ส่วนมากมีรถไฟเข้าเมืองเลยครับ ไม่ว่าจะลงที่ narita tokyo หรือ osaka kansai airport มีทั้งรถไฟเอกชน หรือรถไฟของรัฐวิสาหกิจ อย่าง JR ถ้าลงที่ osaka kansai ก็จะมีรถไฟขบวน Haruka airport Express แทบจะรอรับถึง Terminal เลยครับ ส่วนลงที่ Narita ก็มี Keisei หรือ Narita Express คอยรับส่งเข้าตัวเมือง
ส่วนสนามบิน Narita ก็มี Narita Express หรือ NEX พาเข้าไปส่งในตัวเมือง โตเกียว ชินจุกุ เข้าไปก็เอากระเป๋าวางไว้ในชั้นวางกระเป๋าท้ายขบวน แล้วมานั่งหลับต่อในรถไฟครับ สักชั่วโมงก็มาโผล่ที่กลางเมืองเลย
หลังจากนั้น จะไปเที่ยวไหนก็ตามแพลนไป เมืองใหญ่ๆ ในประเทศทั้งหมด เชื่อมต่อกันด้วยรถไฟความเร็วสูงอยู่แล้วแทบทุกขบวน สามารถนั่งได้ด้วย Rail pass ต่างๆ ที่เราเตรียมมา ยกเว้นบางขบวนที่แพงเวอร์ จองยากเวอร์ หรือห้ามนั่ง เช่น Nozomi mizuho ครับ
จากโตเกียว ก็มี ชิงคันเซ็นสายตะวันออก, สายภาคกลาง, ตะวันตก ยาวไปถึงเกาะใต้สุด อย่างคิวชู นู้นเลยครับ และก็แยกย่อยเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาไปเป็น akita shinkansen และล่าสุดที่เพิ่งเปิดใช้งานเมื่อ 14 มีนาที่ผ่านมา ก็ Hokuriku shinkansen อีก ปีหน้าก็มี hokkaido shinkansen เพิ่มขึ้นมาอีก
ตอนแรก ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะนั่ง shinkansen ให้ครบทุกขบวนก็พอแล้ว แต่ปรากฏว่า มันมีรถไฟใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ทุกปีเลยครับ นั่งไม่ครบสักที ตอนนี้ Hokuriku shinkansen เปิดให้บริการถึงเมือง kanazawa แล้วอีกไม่นาน ก็จะมาบรรจบกับ tokaido shinkansen กลายเป็นมี shinkansen สองสาย เดินรถเลียบทะเลนอก กับทะเลใน นึกแล้วน้ำตาจะไหล บ้านเรายังเป็นหวานเย็นถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างอยู่เลยครับ
เส้นทางสายเลือดหลักของประเทศเลย คือ Tokaido shinkansen ครับ tokaido คือชื่อถนนโบราณในสมัยเอโดะ ที่เชื่อมเมืองหลวงเก่าเกียวโต กับเอโดะ หรือโตเกียวในปัจจุบัน พอมีรถไฟใช้ เลยเอามาตั้งเป็นชื่อเส้นทางรถไฟครับ เป็น shinkansen สายแรกของญี่ปุ่นเลย เริ่มเปิดให้บริการในปี 1964
เมืองสำคัญ ตามทางรถไฟนี้ ก็ออกจาก Tokyo, Yokohama, Odawara, Shizuoka, Nagoya, Kyoto, Osaka ครับ รถไฟหลักๆ ในสาย tokaido shinkansen จะมี 3 ขบวนหลักๆ แบ่งตามความเร็ว
Kodama แปลว่าเสียง
ไวกว่าเสียง ก็คือ Hikari ที่แปลว่าแสง
ไวกว่าแสง ก็คือ Nozomi แปลว่าความหวัง
ระบบสถานีรถไฟของญี่ปุ่นนี่ เดินเข้าไปครั้งแรก จะมึนหัวตาลายเลยครับ เพราะคนเยอะแยะไปหมด ไหลไปไหลมา ยังกะวังน้ำวน มึนทิศทางไปหมด หลักง่ายๆ คือ เราต้องรู้ว่าเราจะขึ้นขบวนไหน เบอร์อะไรครับ ดูป้าย ก่อนเข้า gate ตรวจตั๋วจะมีป้ายไฟบอกอยู่ ว่าขบวนไหน เบอร์อะไร เวลาเท่าไหร่ ไปไหน จะอยู่ track เบอร์อะไร จำเบอร์ไว้ แล้วก็ตามป้ายไปเลยครับ ไม่ต้องไปมองเบอร์อื่น เวลาออกจากสถานี ไปหาโรงแรม หรือสถานที่เที่ยว ก็ดูไว้ก่อน ว่าโรงแรม หรือที่ๆ เราจะไป อยู่ที่ exit เบอร์อะไร แล้วก็หาทางออกไปตามนั้น แล้วเราก็จะหลั่งไหลไปกับกระแสผู้คน กลมกลืนประหนึ่งเหมือนเป็นคนญี่ปุ่นคนหนึ่งเลยครับ
กลับมาเรื่องรถไฟ ส่วนมากรถไฟสาย tokaido นี้ ก็เป็นรุ่นคล้ายๆ กันหมดครับ Kodama เป็นรถไฟที่หวานเย็นที่สุด จอดแทบทุกป้ายที่จอดได้ แม้จะวิ่งเร็วซิ่งระเบิดสองร้อยกว่ากิโลต่อชั่วโมง แต่ว่าต้องแวะจอดทุกป้าย มันก็เลยถึงช้ากว่าใครเขา โดนพี่ๆ แซงทุกสถานีครับ นั่งๆ รออยู่ที่สถานีอยู่ ก็โดน Nozomi วิ่งสวน ดังตุ้มมม รถไฟหลักๆ ที่ใช้ในขบวน Kodama คือรุ่น 700 กับ N700 กับ railstar แหละครับตระกูลเดียวกันหมด
ในรอบชั่วโมงเร่งด่วน เขาจะเอารถรุ่นเก่าอย่าง 500 series มาวิ่งเสริม ผมว่ารุ่น series 500 นี่ เป็นรถไฟที่สวยโฉบเฉี่ยวที่สุดในญี่ปุ่นขบวนหนึ่งเลยครับ รถ series 500 รุ่นเก่าๆ นี่ ถ้า JR ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว ก็น่าจะบริจาคมาให้เมืองไทยใช้ต่อเนอะ ยินดีรับนะครับ อิอิ
ต่อจาก Kodama ชั้นถัดมาก็คือรถขบวน Hikari ที่แปลว่า แสงสว่างโชติช่วงชัชวาล นี่หละครับ เป็นแสงที่นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่ญี่ปุ่น ตอนประกวดตั้งชื่อขบวนรถในปี 1964 เขาว่าไว้ครับ ก็น่าจะเป็นไปตามนั้นจริงๆ จากเดิมเดินทาง 6-7 ชั่วโมงด้วยรถไฟความเร็วปานกลาง พอแรกมีรถไฟความเร็วสูงก็ย่นเวลาเหลือ 3 ชั่วโมง และ หดมาเหลือสองชั่วโมงครึ่งในปัจจุบันครับ ประเทศก็เจริญพรวดๆ อ่ะสิ เผลอๆ เร็วกว่านั่งรถบัสไปรอเช็คอินขึ้นเครื่องที่สนามบินอีก
นอกจากนั้น ยังมีข้าวกล่อง มีกาแฟ ขนม ไอติม โดยมีสาวๆ เข็นมาขายระหว่างทางด้วยครับ กินข้าว จิบกาแฟไปชมวิวไป แปบเดียวก็ถึงแล้ว ข้าวกล่องบนรถ ไม่ได้ซื้อนะครับ มันแพง ส่วนมากจะราวๆ พันเยน อันนี้ผมซื้อจากมินิมาร์ตแถวสถานี
ช่วงสถานี Shizuoka ถึง Odawara นี่ เตรียมมองด้านซ้าย (จากosaka) หรือด้านขวา (จาก Tokyo) ได้เลย ถ้าวันฟ้าใสๆ แดดดีๆ จะเห็นภูเขาไฟฟูจิ สูงเด่นเป็นสง่าเลยครับ แต่ถ้าฟ้าอึบๆทึบๆ มีแต่เมฆ แดดไม่มี ก็ต้องลุ้นกันอีกที ว่าจะได้เห็นฟูจิซังหรือไม่
พักสายตา เที่ยวตามเส้นทาง shinkansen แถวคันไซเสร็จแล้ว ก็ข้ามไปเที่ยวแถวภูมิภาคอื่นมั่ง
จากภาคกลางมาโตเกียว เมืองหลวงแห่งรถไฟครับ จากสถานี Tokyo นี่ ขึ้น shinkansen ได้แทบทุกขบวน ยกเว้น tsubame ที่มีวิ่งเฉพาะในเกาะ Kyushu กับ Sakura ที่วิ่งสาย sanyo shinkansen เท่านัน พาวกขึ้นไปทางเหนือก่อนละกัน แล้วค่อยกลับลงมาภาคอื่นๆ
ชิงคันเซ็นสายตะวันออก (เฉียงๆ ไปทางเหนือ) หรือ Tohoku shinkansen ตอนนี้ มีขึ้นไปถึงสุดเกาะ Honshu ที่เมือง Aomori ครับ สุดที่สถานี shin-aomori ปลายปีนี้ หรือปีหน้าไม่รู้ จะมุดอุโมงค์ต่อไปที่เมือง Hakodate ที่ได้นั่งกันบ่อยๆ ก็มี hayate, yamabiko, hayabusa, nasuno ครับ พวกนี้ใช้ JR PASS นั่งได้ทั้งหมด
รถไฟสายขึ้นเหนือ (แต่ญี่ปุ่นเรียก JR EAST) สายนี้ เป็นรุ่น E5 เป็นหลัก มีรุ่นโบราณ E2 E4 มาวิ่งแซมๆ มั่งในขบวน yamabiko hayate nasuno ครับ
Hayabusa เป็นขบวนรถที่เร็วที่สุดในสาย Tohoku shinkansen ซัดเข้าไป 320 กม./ชม. ส่วนขบวนอื่นจริงๆ ก็วิ่งเร็วพอๆ กันแหละครับ สองร้อยปลาย แต่ว่า hayabusa มันจอดป้ายน้อยที่สุด เลยใช้เวลาน้อยที่สุด ถึงที่หมายเร็วที่สุดครับ สัญลักษณ์ประจำขบวนของ Tohoku shinkansen เป็นรูปเหยี่ยวครับ
ที่นั่งทุกที่ บนรถ hayabusa ต้องจองครับ เป็น reserved seat ไม่งั้น ได้ยืนครับ เวลาจอง ก็เอา JR PASS ไปที่สำนักงานขายตั๋ว ticket office แล้วก็บอกเขา ว่าจะนั่งขบวนไหน จากไหนไปไหน นี่หละครับ แล้วเขาก็จะออกใบจองที่นั่งมาให้ ถ้าเสียตังค์จ่ายค่าตั๋วนี่ อักโขเลยครับ ไปกลับเที่ยวนึง ก็ได้ค่า JR PASS แล้ว ถ้าจะเดินทางระหว่างเมืองไกลๆ ใช้ JR PASS นี่ สุดจะคุ้มเลยครับ นั่งรถข้ามเมืองเป็นว่าเล่น
ส่วนรูปนี้ เป็นห้องโดยสารแบบ Gran Class ไฮโซที่สุดครับ ที่นั่งแบบหรูหรา ช่วงล่างของตู้โดยสารต่างกัน เขาว่านุ่มนวลเป็นพิเศษ ถ้าใช้ JR PASS นั่งได้ครับ แต่ต้องจ่ายตังค์เพิ่มอีกหลายตังค์
นอกจาก Hayabusa แล้ว ชิงคันเซ็นสายเหนือ ก็ยังมีรถอีก 3 ชนิด ที่จอดหลายป้ายกว่า เช่น yamabiko, hayate, nasuno นี่ มีที่นั่งแบบ non-reserve
yamabiko แปลว่า ภูตผู้พิทักษ์ขุนเขาเป็นภูตในตำนานของญี่ปุ่น เหมือนกินรี, คชสีห์ บ้านเรามั้งครับ
Hayate แปลว่า ลมสลาตัน
ส่วน Nasuno ได้มาจากชื่อเมืองตามสถานีแถวๆ เส้นทางครับ
ถ้าไปนั่งในตู้ non-reserve ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนนี่คนตรึมอาจได้ยืนกันบ้างหละครับ
พอซิ่ง shinkansen มาสุดจุดหมายปลายทางที่เมือง Aomori รถก็พามาจอดที่สถานี Shin-aomori ครับ อันเป็นสถานีปลายทางของ shinkansen สายเหนือ สถานีนี้ อยู่นอกเมืองนิดหน่อย ถ้าจะเข้าเมืองต้องต่อรถไฟไปลงที่สถานี Aomori อีกที ราวๆ แป๊บนึง ถึงเมือง Aomori อันเป็นหัวเมืองทางเหนือสุดของเกาะ Honshu เมืองแถวๆ นี้ ไม่ค่อยมีประวัติศาสตร์เข้มข้น เพราะไม่ค่อยมีการสู้รบอะไรมากมายเน้นเที่ยวแบบ ที่กินอาหารทะเล เก็บผลไม้ ชมธรรมชาติซะมากกว่า
ส่วนทาง Hokkaido นี่ ยิ่งไม่ค่อยมีที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์เลยครับเพราะเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่า เพิ่งมีคนไปบุกเบิก ตอนยุคปฎิรูปประเทศนี่เอง ที่เที่ยวของเมือง Aomori แถวๆ นี้ ผมก็เที่ยวมาไม่กี่ที่
อ่านรีวิวเพิ่มเติมต่อได้ที่ http://pantip.com/topic/33420218
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://pantip.com/topic/33420218
ติดตาม travel.truelife.com ได้อีกช่องทางที่
ทุกเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว อาหาร และสุขภาพ คลิกที่http://travel.truelife.com