สำหรับ ใครที่เบื่อรถติดในกรุงเทพฯ สุดๆ เลยอยากหาที่ขับรถไปเที่ยวใกล้ๆ แบบไปเช้าเย็นกลับได้สบายๆ เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ไปหาที่สงบๆ ชาร์จพลังให้ชีวิต โจทย์คือ ขอแบบไม่ไกลมาก ได้เห็นวิวทะเล และมีอะไรให้ทำนิดหน่อย ....แนะนำ จบที่นี่เลยครับ "จุดชมวิวปลาโลมา สะพานแดง" ที่พันท้ายนรสิงห์ สมุทรสาคร วันนี้จะมารีวิวคร่าว ๆ สำหรับคนที่สนใจอยากไปชมครับ จุดเริ่มต้นที่ไม่ใช่แค่สะพานสวยๆ แต่เป็นสมรภูมิรักษาแผ่นดิน หลาย ๆ คนที่เคยไป หรือเคยเห็นภาพมาบ้าง อาจจะคิดว่า "สะพานสีแดง" ทอดยาวลงไปในทะเล สวยขนาดนี้ต้องต้องเป็นจุดถ่ายรูปท่องเที่ยวริมอ่าวที่ไหนสักแห่ง แต่เพื่อนๆ รู้ไหมครับว่าพื้นที่ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า "อ่าวไทยรูปตัว ก" เนี่ย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรงที่สุดในประเทศ บางพื้นที่แผ่นดินหายไปลึกเข้ามาปีละหลายสิบเมตรเลยนะครับ... ชายฝั่งแถบพันท้ายนรสิงห์-บางขุนเทียนก็คือหนึ่งในสมรภูมินั้นครับ ดังนั้น "สะพานแดง" ที่เราเห็น แท้จริงแล้วไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็น "เส้นทางลำเลียง" และ "ทางเดินสำรวจ" สำหรับเจ้าหน้าที่และชาวบ้านในการเข้าไปดูแลรักษาและฟื้นฟูแนวชายฝั่งด้วยครับ การเดินทางยังคงง่ายเหมือนเดิมครับ จากกรุงเทพฯ ใช้ ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล ขับตรงยาวๆ ไปจนสุดทาง แล้วเลี้ยวขวา ขับต่อไปอีกไม่ไกลก็จะเห็น ศาลเจ้าพ่อมัจฉานุ อยู่ทางซ้ายมือ สะพานแดงอยู่ติดกันเลยครับ หรือเปิด Google Maps พิมพ์ว่า "จุดชมวิวปลาโลมา สะพานแดง" ก็ไม่มีหลงแน่นอน เมื่อก้าวเท้าลงบนสะพานไม้สีแดง ความรู้สึกแรกคือลมทะเลที่พัดมาปะทะหน้าเต็มๆ มันสดชื่นมากครับ แต่เมื่อมองไปรอบๆ ตัว คุณจะไม่ได้เห็นแค่ทะเลเวิ้งว้าง แต่จะเห็น 2 ผู้พิทักษ์ชายฝั่งตัวจริง ครับ กำแพงไม้ไผ่ชะลอคลื่น (The Bamboo Wall): มองออกไปในทะเล จะเห็นแนวไม้ไผ่ปักเรียงกันเป็นแถวยาวขนานไปกับชายฝั่ง นี่คือภูมิปัญญาท้องถิ่นที่นำมาประยุกต์ใช้เป็น "แนวป้องกันด่านหน้า" ครับ ... หลักการทำงานของมันไม่ใช่การ "หยุด" คลื่นแบบกำแพงคอนกรีตนะครับ แต่มันทำหน้าที่ "สลายพลังงาน" ของคลื่น เมื่อคลื่นซัดเข้ามาปะทะกับแนวไม้ไผ่ที่โปร่งเป็นซี่ๆ มันจะช่วยลดความสูงและความแรงของคลื่นลงได้อย่างมหาศาล แนวป้องกันแบบนี้เราเรียกว่า "โครงสร้างแบบอ่อน (Soft-Engineering)" ที่ทำงานร่วมกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว ป่าชายเลน (The Mangrove Forest): เมื่อคลื่นลมสงบลง พื้นที่หลังแนวไม้ไผ่ก็จะกลายเป็นแอ่งที่นิ่งพอจะเกิดการทับถมของตะกอนเลน กลายเป็นพื้นที่ที่เหมาะเหม็งสำหรับการเติบโตของ "ป่าชายเลน" ครับ บนสะพานเราจะมองเห็นต้นโกงกางที่ถูกปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบ ป่าชายเลนเปรียบเสมือน "ปราการธรรมชาติ" รากของต้นโกงกางที่ระเกะระกะซับซ้อนนั้นทำหน้าที่ยึดเหนี่ยวตะกอนและหน้าดินเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม มันจึงเป็น "แนวป้องกันด่านสุดท้าย" ที่ช่วยรักษาแผ่นดินครับ นอกจากนี้ ป่าชายเลนยังเป็น "สถานอนุบาล" ของสัตว์น้ำวัยอ่อน ทั้งลูกปู ลูกกุ้ง ลูกปลามากมาย เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญอย่างยิ่งของระบบนิเวศชายฝั่ง ไฮไลท์ที่ไม่ได้มีแค่ความสวย แต่มีความหมาย มุมถ่ายรูปมหาชน: แน่นอนว่าสะพานสีแดงที่ทอดยาวตัดกับสีฟ้าของฟ้าและสีเขียวของป่าชายเลนยังคงเป็นมุมบังคับที่ต้องถ่าย แต่ตอนนี้คุณจะถ่ายรูปด้วยความเข้าใจที่มากขึ้น ว่าทุกองค์ประกอบในภาพมันมีความหมาย จุดชมพระอาทิตย์ตกดิน: บรรยากาศตอนเย็นที่นี่คือดีที่สุดครับ แสงสีทองส่องกระทบผิวน้ำและตัวสะพาน เป็นภาพที่สวยงามและสงบ ช่วยฮีลใจได้ดีจริงๆ พระเอกตัวจริง: การปรากฏตัวของโลมา: โลมาที่มักจะพบเห็นได้ในบริเวณนี้คือ "โลมาอิรวดี" ครับ ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีสายพันธุ์ใกล้ชิดกับวาฬเพชฌฆาตมากกว่าโลมาทั่วไปที่เราคุ้นเคยนะ ลักษณะเด่นคือมีหัวที่กลมมน ไม่มีจงอยปากยาวๆ เหมือนโลมาปากขวด การที่พวกมันเข้ามาหากินในบริเวณนี้ (ช่วงเดือน พ.ย.-ม.ค.) เป็น ดัชนีชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ ของท้องทะเลได้เป็นอย่างดีครับ เพราะนั่นหมายความว่า "สถานอนุบาลสัตว์น้ำ" หรือป่าชายเลนที่เราเห็นนั้น ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนมีอาหารเพียงพอที่จะดึงดูดสัตว์นักล่าชั้นบนของห่วงโซ่อาหารอย่างโลมาให้เข้ามาหากินได้นั่นเอง นอกจากสะพาน และทางเดินชมธรรมชาติแล้ว บริเวณรอบ ๆ ยังมีร้านค้าของคนในพื้นที่ที่มาตั้งแผงขายของกัน ทั้งอาหารทะเลตากแห้งและของฝากทั่วไป รวมทั้งยังมีร้านอาหารซีฟู๊ด และห้องน้ำสาธารณะไว้บริการด้วยครับ ใครที่อยากหาที่เที่ยวใกล้กรุงเทพฯ ที่ให้ได้ทั้งความรู้ ความสวยงาม และความประทับใจ ผมแนะนำที่นี่เป็นอีกที่หนึ่งที่น่าสนใจเลยครับ แล้วคุณจะมองทะเลอ่าวไทยด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปแน่นอน เครดิตภาพประกอบบทความ : ภาพหน้าปกและภาพประกอบบทความโดยผู้เขียนบทความ อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !