สำหรับคนที่ยังไม่เคยมาเที่ยวพม่า แน่นอนว่าสถานที่แรกที่อยากมา อยากเห็นสักครั้งก็คือมหาเจดีย์ชเวดากอง แต่ก่อนไปถึงไฮไลท์ เราสามารถแวะไหว้พระก่อนในสถานที่เที่ยวยอดนิยม ดังนั้นที่แห่งแรกของทริปเที่ยวพม่าก็คือวัดพระนอนตาหวานหรือวัดพระพุทธไสยาสน์เจาทัตจี เพียงแค่แห่งแรกก็ตกตะลึงแล้วเพราะไม่คิดว่าจะได้เห็นพระพุทธรูปที่มีการเขียนพระพักตร์ในลักษณะเช่นนี้มาก่อน แต่สำหรับเมืองพม่าแล้ว เป็นเรื่องปกติ ที่พระพุทธรูปจะมีการตกแต่งอย่างสวยงาม ริมฝีปากแดง เขียนคิ้วประดับขนตา ทำให้ช่วยขับดวงเนตรทำจากแก้วให้ดูใสปิ๊งยิ่งขึ้น กราบพระแล้วนั่งมองไปก็ว่าเพลินตาดี และบริเวณฝ่าพระบาทขององค์พระนอนยังสลักเป็นลวดลายเป็นรูปมงคล 108 ประการ องค์พระนอนตาหวาน หลังจากไหว้พระแล้ว พวกเราเริ่มรู้สึกว่ามีชายหนุ่มหลายคนจับตามอง มีทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ นึกขึ้นมาได้ว่าเคยอ่านเจอว่าพวกเขาน่าจะเป็นไกด์ท้องถิ่นที่อยากนำเที่ยว ความที่กลัวว่าจะต้องเสียเงิน จึงพยายามเดินเลี่ยงออกมา แต่ไม่วายที่ชายหนุ่มผิวเข้มหน้าคมออกไปทางอินเดีย ได้เข้ามาชวนคุยด้วยท่าทางสุภาพพูดจาดี เขาพาไปตีฆ้องตีระฆัง แต่ด้วยความที่รู้ทันจึงสามารถหาจังหวะหลบออกมาได้ แต่เหมือนว่าจะหนีอย่างไรก็ไม่พ้น เพราะว่าเราต้องไปหยิบรองเท้าที่หน้าวัด เพราะการเข้าวัดและเจดีย์ในพม่าต้องถอดรองเท้าทุกแห่ง ด้วยความเก๋าของไกด์สูงวัยอีกคนหนึ่ง เขาทำท่าสบาย ๆ เนียน ๆ เดินเข้ามาคุยด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องปากเข้าใจง่าย สิ่งที่พูดคุยดูน่าสนใจ ลุงแกจะเริ่มอธิบายตั้งแต่เรือนไม้โบราณที่เป็นกุฏิพระมีอายุนับร้อยปี แม้ว่าจะดูผุพังแต่ก็สวยดี และที่ดึงความสนใจของพวกเราได้ทันทีก็ตอนที่แกบอกว่าจะพาเดินไปชเวดากองซึ่งอยู่ไม่ไกล สามารถเดินไปได้จากทางนี้ นั่นเท่ากับว่าแกสามารถปิดการขายได้ในเวลาอันรวดเร็ว บ้านสวยสไตล์โคโรเนียลในตรอกซอยเมืองย่างกุ้ง พอแกได้นำทาง ลุงไกด์ก็พาเดินไปเรื่อย ๆ เข้าไปในตรอกซอกซอยผ่านบ้านเรือนของผู้คน บางมุมมีตึกสไตล์โคโลเนียลทาสีชมพู มองผ่านแมกไม้ไปชวนนึกถึงฉากละครย้อนยุค มีอาคารหลังหนึ่ง ลุงเขาชี้ให้ดูร่องรอยความเสียหายของพายุหมุนนากิสที่เกิดขึ้นในปีพ.ศ. 2551 ในครั้งนั้นมีคนตายหลายหมื่นคน ต้นไม้ใหญ่หักโค่น บ้านเรือนในเมืองย่างกุ้งเสียหายไปอย่างมากมาย จากนั้นแกก็พาแวะยังวัดใหญ่อีกวัดหนึ่ง ซึ่งก่อนนี้มองเห็นหลังคาโบสถ์แต่ไกลจากระเบียงของวัดพระนอนตาหวาน วัดนี้มีชื่อว่าวัดงาทัตยี วัดนี้มีพระพุทธรูปสีขาวปางมารวิชัยองค์ใหญ่สูงประมาณตึก 5 ชั้น แกะสลักด้วยหินอ่อน ด้านหลังเป็นไม้แกะสลัก ประดับประดาสวยงามละลานตามาก วัดงาทัตจี พระใหญ่ปางมารวิชัย เมืองย่างกุ้ง จากนั้นลุงไกด์ก็ยังพาเดินไปเรื่อย ๆ ในความรู้สึกคิดว่าน่าจะเป็นชั่วโมงแล้ว สำหรับคำว่าชเวดากองอยู่ไม่ไกล พวกเราก็พยายามชะเง้อผ่านยอดไม้ มองหาแล้วหาอีกก็ไม่เห็นจะถึงเจดีย์ชเวดากองสักที บางช่วงไม่มีร่มไม้แดดก็ร้อนเหงื่อตกแล้วด้วย เมื่อคืนตอนมาจากไทยก็นอนน้อย ถึงตอนนี้พวกเราก็เริ่มซุบซิบกันแล้วว่ารู้อย่างนี้ให้หนุ่มหล่อหน้าแขกมาเป็นไกด์ก็ดี จะได้มีแรงเดิน อีกสักพักใหญ่ทีเดียว จึงเดินออกมาถึงถนนใหญ่ แล้วก็ได้เห็นแล้วว่าเมื่อข้ามถนนกว้างนี้แล้วเดินเลาะไปตามข้างทางก็จะถึงชเวดากองซึ่งเห็นไกลลิบ ๆ จากถนนใหญ่มองเห็นมหาเจดีย์ชเวดากอง เรากล่าวขอบคุณและทิปลุงไกด์ ลุงเขาดูแจ่มใสใจเย็นเหมือนเดิม ถึงจะเหงื่อไหลและก็เหนื่อย แต่ก็รู้สึกดีที่ได้เห็นบ้านช่องของคนพม่าจริง ๆ ไม่ใช่จะเห็นเพียงเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเดียว เอาน่าเดินไปอีกนิดเดียว ถ้าเทียบกับที่เดินมาแล้ว ก็จะถึงเจดีย์ชเวดากองแล้ว !!! ได้เห็นยอดเจดีย์ชเวดากองไกล ๆ ก็ชื่นใจแล้ว ไม่หลงทางแน่นอน ถนนสู่องค์มหาเจดีย์กว้างขวางมาก ทางเดินเท้าเดินสบาย มีแผงค้าขายริมทาง มีร้านขายมะพร้าวที่มีลูกค้าหลายคนนั่งดื่มและกินเนื้อมะพร้าว รู้สึกกระหายน้ำจึงแวะพัก ลองสั่งมะพร้าวลูกโตมาชิมหนึ่งลูก น้ำมะพร้าวไม่หวาน เนื้อก็หนา จึงสั่งแค่นี้ โดยไม่รู้ตัวพวกเรากลับดูน่าเอ็นดู ขำ ๆ สำหรับหนุ่มใหญ่มาดภูมิฐานที่นั่งอีกโต๊ะ เขายิ้มแซวว่ามาสามคนทำไมสั่งลูกเดียว เขาเลี้ยงไหม พวกเราเกรงใจบอกว่าแค่ชิมดู ได้คุยทักทายกัน แต่ไม่วายที่เขาจะชิงจ่ายค่ามะพร้าวให้แบบสุภาพบุรุษแท้ ใกล้เข้ามาอีกนิด มหาเจดีย์ชเวดากอง ขณะที่เดินต่อไปอย่างเห็นจุดหมายปลายทางชัดขึ้นเรื่อย ๆ จึงนึกขึ้นมาได้ว่า ในรัศมีหลายกิโลเมตรภายในเมืองย่างกุ้ง สามารถใช้คำว่าสามารถเดินไปมหาเจดีย์ชเวดากองได้ทั้งสิ้น ! เพราะองค์มหาเจดีย์ตั้งอยู่บนเนินเขาเพิ่มความสูงให้องค์เจดีย์ ทำให้สง่างามและโดดเด่น ถ้าอยากออกกำลังกายจะพาซื่อเชื่อไกด์ท้องถิ่นก็ได้ หรือเห็นว่าบางช่วงรถติดมากเดินไปก็น่าจะดี แต่ถ้าแรงน้อยคิดว่าเรียกแท็กซี่ดีกว่า ในที่สุดก็เดินมาถึงองค์มหาเจดีย์ชเวดากองสักที !