สวัสดีท่านผู้อ่านที่มีใจรักในการท่องเที่ยวทุกท่าน ผู้เขียนขออนุญาตแนะนำตัวนะคะ ชื่อ “ริน นารถจรินทร์” ก็เรียกสั้นๆว่า ริน ก็ได้ค่าา ถึงช่วยนี้จะอยู่ในช่วงโควิด-19ระรอกสอง แพลนการท่องเที่ยวในบางสถานที่อาจต้องหยุดชะงัก แต่ไม่เป็นไรค่ะ เรามาอ่านบทความการท่องเที่ยวเพื่อวางแผนทริปเที่ยวรอกันดีกว่านะคะ เพราะการเตรียมตัวที่ดี ย่อมทำให้ได้เที่ยวอย่างคุ้มค่า การศึกษาประวัติของสถานที่ที่เราจะไปเที่ยวก็เป็นเรื่องที่สร้างสรรค์และให้ประโยชน์ ได้ทั้งความรู้และความสุขไปด้วย เหมาะกับคนรักการท่องเที่ยวจริงๆค่ะ ทริปนี้รินไปกับเพื่อสองคน ใช้เวลาวางแผนจริงๆไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ด้วยซ้ำค่ะ ฮ่าๆ เนื่องจากรินกับเพื่อนยังไม่มีรถส่วนตัว การเดินทางไปเที่ยวแต่ละครั้งจึงต้องวางแผนและศึกษาการเดินทางก่อนเสมอว่ามีระบบขนส่งสาธารณะแบบไหนบ้าง ต้องขึ้นรถที่ไหน รอรถกี่โมง รถหมดรอบกี่โมง ต้องเที่ยวและทำเวลาให้ทันก่อนรอบรถหมด ไม่งั้นอดกลับบ้านแน่นอนค่ะ อาจจะดูยุ่งยาก แต่บอกเลยว่ามันก็มีข้อดีเหมือนกันนะคะ เพราะเป็นการเพิ่มทักษะการวางแผนและการสืบค้นข้อมูลอย่างดีเลยค่ะ ทั้งวางแผนงบประมาณที่ต้องจ่าย สถานที่ที่จะไปเที่ยว จากแต่ก่อนรินดูแผนที่ไม่ค่อยเป็น (เพราะตอนเด็กๆไม่ตั้งใจเรียนวิชาภูมิศาสตร์ ฮ่าๆ) คราวนี้ต้องงัดสกิลอ่านแผนที่ดูเส้นทางให้ออก เพื่อให้เรียงลำดับสถานที่ในการท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้อง ซึ่งช่วยประหยัดเวลาการเดินทางแต่เพิ่มเวลาเที่ยวได้ดีสุดๆเลยค่ะ การเดินทางของรินเริ่มที่กรุงเทพฯค่ะ พักอยู่กับเพื่อนที่ลาดพร้าว รินเลือกเดินทางไปกาญจนบุรีด้วยรถไฟค่ะ ซึ่งมีรอบเช้าและสาย แต่ไม่ได้ขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพงนะคะ ต้องไปขึ้นที่สถานีกรุงเทพธนบุรีค่ะ จากลาดพร้าวนั้นรินนั่ง mrt ลาดพร้าวไปลง mrt บางขุนนนท์ จากนั้นต่อแท็กซี่ไปแป๊บเดียวประมาณ 5 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ บรรยากาศที่สถานีค่อนข้างคึกคัก มีตลาดขายอาหารให้นักท่องเที่ยวได้รองท้องก่อนออกเดินทาง น่ากินไปหมด ราคาก็ไม่แพงด้วยค่ะ แต่ก่อนจะซื้ออาหาร สิ่งที่รินทำอันดับแรกเมื่อไปถึงก็คือวิ่งตรงไปเข้าแถวเพื่อซื้อตั๋วรถไฟค่ะ เนื่องจากเป็นวันเสาร์ คนจะค่อนข้างเยอะค่ะ ต้องรีบซื้อตั๋วก่อนรถไฟจะมา โดยรถไปรอบเช้าจะออกตอน 7:45 น. และถึงที่หมาย 10:42 น. ในครั้งนี้รินเลือกลงที่สถานีสะพานแควใหญ่ค่ะ เพราะอยู่ใกล้ที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวเยอะ การนั่งรถไฟเป็นอะไรที่ชิลๆ สบายๆ ค่ะ นั่งไปเรื่อยๆมองวิวนอกหน้าต่างๆไปเรื่อย ได้บรรยากาศดีจริงๆ แต่ช่วงผ่านราชบุรีมีฝุ่นปลิวเข้ารถไฟค่อนข้างเยอะนะคะ ต้องรีบปิดหน้าต่างก่อน ก็ถือว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของการท่องเที่ยวฉบับคนที่ไม่มีรถส่วนตัว เราเดินทางมาถึงสถานีสะพานแควใหญ่ในเวลาประมาณ 11:00 น. ก็คือรถไฟล่าช้านั้นเองค่ะ แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่จะไม่ตรงเวลาเพราะอาจมีช้าบ้างตอนหยุดรับผู้โดยสารในแต่ละสถานี ก็เป็นสีสันของการนั่งรถไฟไปอีกละกัน ฮ่าๆ เมื่อถึงสถานีสะพานแควใหญ่ รินและเพื่อนก็เลือกที่จะไปนั่งรับประทานอาหารเช้าก่อนเป็นอย่างแรก เพราะในรถไฟไม่กล้าถอดหน้ากากอนามัยออกมากินเลยค่ะ กลัวโดนดุ ด้านข้างสะพานแควใหญ่ 2 ฝั่งจะมีร้านอาหารอยู่ค่ะ ฝั่งซ้ายจะเป็นร้านที่มองวิวแม่น้ำแควใหญ่ได้จากที่สูงรับลมเย็นๆเพลินส่วนด้านขวาจะเป็นร้านแบบแพน้ำ สามารถเอาเท้าจุ่มน้ำชิลระหว่างรออาหารได้เลยค่ะ ที่สำคัญคือถ่ายรูปกับวิวแม่น้ำแควใหญ่เป็นอะไรที่ดีจริงๆกับสายนักเที่ยวและถ่ายภาพอย่างเราๆค่ะ หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็เดินเท้าไปยังที่พักที่ได้จองไว้กับแอพ Agoda เลยค่ะที่พักอยู่ห่างจากสถานีประมาณ 800 เมตร ระหว่างทางก็เห็นมีรถสองแถวรับเหมานักท่องเที่ยวไปเที่ยวตามจุดต่างๆค่ะ เขามีโปรแกรมให้เราเลือกเส้นทางว่าจะไปไหนบ้าง แต่รินไม่ได้ถามราคามานะคะ ต้องขอโทษจริงๆน๊าาาา แต่รถสองแถวนั่งได้ประมาณสิบคน ถ้าหารกันแล้วอาจจะตกคนละไม่กี่ร้อย น่าจะคุ้มค่าอยู่นะคะ แต่รินกับเพื่อนมาแค่สองคนเลยไม่ได้เหมารถเที่ยว ฮ่าๆ ที่พักที่รินจองชื่อ “Bamboo House” รินมาก่อนเวลาเช็กอินของที่พักจึงยังเข้าห้องไม่ได้ จึงฝากสัมภาระไว้ก่อนแล้วออกไปเที่ยวก่อนค่อยกลับมาเช็คอินค่ะ แต่เห็นวิวใกล้ๆที่พักคือดีงามมาก พี่พนักงานเขามีโปรชัวร์แผนที่เส้นทางสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำให้ด้วยนะคะ รินเลยไปเช่ามอเตอร์ไซค์ตรงร้านหน้าปากซอยของที่พักค่ะ อยู่ไม่ไกลไปไม่ถูกถามพี่พนักงานได้เลย ค่าเช่า 24 ชั่วโมง 300 บาท ก่อนคืนรถต้องเติมน้ำมันคืนให้เต็มถังนะคะ ทริปนี้รินไปหลายที่มากระยะทางรวมประมาณ40-50กิโลเมตร แต่เสียค่าน้ำมันไม่เยอะค่ะไม่ถึงร้อยบาท สถานที่แรกที่เราเลือกไปคือ วัดถ้ำเขาน้อยค่ะ ระหว่างทางไปวัดถ้ำเขาน้อยมีวิวสวยรายล้อมมองเห็นภูเขาเขียวขจี เห็นแล้วรู้สึกตื่นเต้นมากๆค่ะ เพราะรินไม่ค่อยได้เที่ยวเลย แค่เรียนในแต่ละวันคือแทบไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน (แอบบ่นนิดหนึ่ง) เมื่อใกล้ถึงวัดถ้ำเสือ สิ่งแรกคือตะลึงมากใรความใหญ่ของวัด ใหญ่จนคิดว่ามนุษย์เราสร้างสิ่งที่ใหญ่แบบนี้บนภูเขาได้หรอ โคตรเจ๋งไปเลย ฮ่าๆๆ เราขึ้นไปบนจุดชมวิวด้านบนจะเห็นทุ่งนาสีเขียวสดรายล้อมวัดค่ะบวกกับมีลมเย็นๆพัดผ่าน ถือว่าหายเหนื่อยจากที่ตื่นแต่เช้านั่งรถไฟ 2-3 ชั่วโมงเลยค่ะ แลพลาดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปกับเจดีย์ห้าชั้นสวยงามมากๆ ได้ทั้งบุญทั้งรูปถ่ายสวยคุ้มไปแล้วหนึ่งกรุบ :) จากนั้นเราไปต่อกันที่วัดถ้ำมังกรทองค่ะ จะบอกว่าวัดนี้ค่อนข้างเงียบ ไม่มีนักท่องเที่ยวมาเลยค่ะ แอบเห็นใจพ่อค้าแม่ค้าแถวนั้นมาก รินได้อุดหนุนเสื้อสกรีนชื่อจังหวัดไปคนละ1ตัวกับเพื่อนค่ะ ได้ลองถามแม่ค้าเขาบอกว่าก่อนมีโควิดวัดนี้ก็เงียบไม่ค่อยมีคนมา ถ้าใครแวะไปเที่ยวกาญจนบุรีก็แวะวัดถ้ำมังกรได้นะคะ บรรยากาศสงบๆร่มรื่น มีเดินขึ้นบันไดสูงนิหน่อยแต่วิวสวยมากเลยค่ะ ตอนที่ไปไหว้สักการะมีพี่ที่เขาอยู่วัดแนะนำให้ลองลอดถ้ำหินดู แต่รินไม่ได้ลอดค่ะ เพราะถ้ำแคบ ต้องคลานเข้าไป ซึ่งเสื้อผ้าและข้างของที่พกไปนั่นไม่อำนวยบวกกับเป็นคนกลัวที่แคบๆด้วย ฮ่าๆ ถ้าใครอยากท้าทายความแคบของถ้ำก็เชิญที่วัดถ้ำมังกรเลยค่ะ :) และสถานที่สุดท้ายในวันนี้ก็คือ ต้นจามจุรียักษ์ ค่ะใช้เวลาขับมอเตอร์ไซค์ไปค่อนข้างนาน เพราะหลงทาง ฮ่าๆ สถานที่นี้คนค่อนข้างเยอะค่ะ เยอะจนหามุมถ่ายรูปยากมาก รินจึงเลือกนั่งชิล ๆ ซึมซับบรรยากาศไปเรื่อยๆ ที่นี้มีการให้อาหารน้องแพะด้วยนะคะ น้องๆน่ารักมากๆเลย ต้นจามจุรียักษ์เป็นอีกหนึ่งแลนมาร์คที่ได้รับการแนะนำให้มาเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี หากมาในช่วงที่คนไม่เยอะ จะได้รูปสวยๆกลับไปแน่นอนค่าาา ส่วนรินก็ได้รูปมานิดหน่อย ก็ถือว่าคุ้มค่าและหายเหนื่อยกับการเรียนเครียดๆมาตลอดทั้งปีเลย :) เมื่อเที่ยวจนหนำใจเราก็กลับที่พักเพราะเลยเวลาเช็กอินมามากแล้วค่ะ ที่พักเราจองมาในราคาประมาณ 900 บาทค่ะ ทาง Agoda มีส่วนลดให้เล็กน้อย เลยจำราคาเต็มไม่ได้ 1 ห้องมี 2 เตียง หารกับเพื่อนก็ตกคนละ 450 บาท ราคานี้ไม่รวมอาหารเช้า-เย็นนะคะ รินเลือกไปรับประทานอาหารนอกที่พักด้วย เลยไม่ได้รีวิวในส่วนนี้ แต่ที่พักคือดีงาม เป็นบ้านกระท่อมน่ารักๆไปที่ข้างในหรูหราเลยที่เดียว ภายในห้องประกอบด้วยทีวีจอแบน ตู้เย็น ราวตากผ้า เครื่องปรับอากาศ โต๊ะเครื่องแป้ง เตียง เครื่องทำน้ำอุ่น สัญญาอินเทอร์เน็ต อีกทั้งวิวข้างนอกที่ติดริมแม่น้ำแควใหญ่คือสวยไม่ไหว ยิ่งตอนพระอาทิตย์ตกเป็นแสงสีส้มสะท้อนแม่น้ำ พลาดไม่ได้ที่จะต้องบันทึกภาพถ่ายกันเลยที่เดียว ลานสนามหน้าที่พักก็คือจัดสวย มีไฟมีชิงช้า โต๊ะหินอ่อนและเตนท์ผ้าสไตล์โบฮีเมี่ยน ทำให้พักผ่อนได้อย่างอิ่มเอมใจสุดๆไปเลยค่าาาา ในเช้าวันถัดไปรินตื่นสายหน่อย 11:00 น. (ไม่หน่อยละมั้ง ฮ่าๆ) ทำการจัดแจงเช็คเอาท์เรียบร้อยแล้วก็ออกไปรับประทาอาหารเช้าแถวๆสะพานแควใหญ่ค่ะ ร้านอยู่ติดกับอเมซอนและเซเว่น อาหารน่าทานมากๆ แต่กินไม่หมดเพราะร้านให้เยอะมากๆ เมื่อรับประทานอาหารเช้าอย่างเต็มอิ่ม รินก็พาน้องมอเตอร์ไซค์ที่เช่ามาไปเติมน้ำมันให้เต็มถังค่ะ เพื่อจะได้นำไปคืนร้านเช่า เติมน้ำมันไปประมาณ 50 บาทเองค่ะ หลังจากคืนรถเสร็จเรียบร้อยก็เดินอีกประมาณ 800 เมตรไปยังพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่สองค่ะ มีค่าเข้าพิพิธภัณฑ์ประมาณ 30 บาท (จำราคาไม่ได้) ที่นี้มีของเก่าสมัยสงครามโลกให้ดูเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเหรียญเงิน ปืน เครื่องปั้นดินเผา รถ และมีรูปปั้นแสดงประวัติศาสตร์เมื่อครั้งญี่ปุ่นเข้ามา และใช้แรงงานเชลยสร้างทางรถไฟสายมรณะที่เราเห็นในปัจจุบัน และสถานที่สุดท้ายคือ สะพานแขวนใหญ่ แลนมาร์คที่ทุกคนต้องเช็กอินและถ่ายรูป คนเยอะมากจนหามุมถ่ายรูปไม่ได้ จึงไม่ค่อยได้รูปที่ยืนถ่ายกลางสะพานสวยๆ บวกกับแดดตอนเที่ยงแรงๆ จึงต้องขอบายค่ะ ฮ่า ๆ ระหว่างนั้นจึงนั่งเล่นชิล ๆ รอรถไฟรอบบ่ายเพื่อกลับกรุงเทพค่ะ เป็นไงกันบ้างค่ะกับการเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวฉบับมือใหม่ของริน การเที่ยวเป็นสิ่งที่ใครหลายๆคนชอบ บางคนอาจมีข้อจำกัดด้านการเงินจึงไม่ค่อยได้เที่ยว รินก็เหมือนกันค่ะ การใช้เงินไปกับการเที่ยวต้องวางแผนแล้ววางแผนอีกเพื่อให้มีเงินใช้พอตลอดทริป แม้รินจะยังอยู่ในวัยเรียน ไม่มีเงินเดือน แต่ก็ไม่อยากรอเที่ยวตอนเกษียณหรือต้องรอเก็บเงินเยอะๆแล้วค่อยเที่ยว การออกมาใช้ชีวิตวัยรุ่นในการท่องเที่ยวรินว่ามันสำคัญและดีกว่ารอเที่ยวตอนแก่นะคะ เพราะเราได้ออกมาหาประสบการณ์ชีวิตและหาแรงบันดาลใจระหว่างท่องเที่ยว อีกทั้งร่างกายที่แข็งแรงในวัยนี้เหมาะต่อการท่องเที่ยวที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นก็อย่าลืมหาเวลาว่างออกมาใช้ท่องเที่ยวพักผ่อน หาแรงบันดาลใจ คลายเครียดและกลับไปทำงานต่ออยากมีความสุข เพื่อนับวันรอในการเที่ยวครั้งถัดไปนะคะ ขอให้ทุกคนปลอดภัยจากโควิด-19 และมีสุขภาพแข็งแรงนะคะ ขอบคุณค่ะ :) All photos by ริน สกุรา อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !