หากพูดถึงสถานที่เที่ยวในภาคเหนือ คนส่วนมากมักนึกถึงแต่เมืองเชียงใหม่ หรือเมืองเชียงราย แต่จริง ๆ แล้วยังมีเมืองเชียงคำที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ซึ่งเมืองเชียงคำเป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดพะเยาที่ทั้งเก่าแก่และมีเสน่ห์มากทีเดียว ด้วยเพราะเมืองนี้มีวัฒนธรรมตามกลุ่มคนไทลื้อ โดยกลุ่มคนไทลื้อเป็นกลุ่มคนชาติพันธุ์หนึ่งที่อพยพถิ่นฐานมาจากแคว้นสิบสองปันนา ประเทศจีนนั่นเอง เกริ่นมาซะนานแล้วตามเรากันมาดีกว่าว่า...ทริปนี้เราไปเที่ยว กิน และพักที่ไหนกันบ้างค่ะ 😊😊😊 ในตอนค่ำวันพฤหัสบดี เราเดินทางด้วยรถบัส บขส. ของสมบัติทัวร์ที่ท่ารถวิภาวดี และเดินทางมาถึงท่ารถเชียงคำในเช้าวันศุกร์ พอมาถึงเชียงคำแล้วก็แวะมากินอาหารเช้าในตลาดเชียงคำเพื่อเพิ่มพลังกันก่อน ซึ่งตลาดเชียงคำในยามเช้าถือว่าค่อนข้างคึกคักทีเดียว เพราะสองข้างทางจะมีทั้งอาหาร ผัก ผลไม้ และสิ่งของมาขายทั้งแบกะดิน, ตั้งโต๊ะขาย และแบบรถเข็น โดยอาหารเช้าที่เรากินนั้นก็คือ “ข้าวต้มปลา” รสชาติพอใช้ได้ ชอบสุดตรงที่มีหมูสับให้ด้วย ไม่แน่ใจว่าเราสั่งหรือทางร้านใส่มาให้เอง แต่เสียดายตรงที่ไม่มีพริกน้ำปลาให้เติมนี่แหละ (เติมเฉพาะพริก) 5555 จากนั้นเราก็เดินไปนั่งดื่มโอเลี้ยงแก้ง่วงในร้านกาแฟค่ะ หลังจากแวะตลาดเชียงคำแล้ว เราก็นั่งรถสองแถว (รับจ้างแบบเหมา 2-3 วัน) ไปเที่ยวชม “วัดนันตาราม” ที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน ซึ่งวัดนันตารามเป็นวัดที่สวยงามและมีชื่อเสียงของอำเภอเชียงคำ ถือเป็นสถานที่เที่ยวหลักที่ห้ามพลาดชมเลยทีเดียว เนื่องจากวัดแห่งนี้เป็นวัดไทใหญ่ที่สร้างตามแบบศิลปะพม่าและมีอายุเก่าแก่มานาน เดิมทีเป็นวัดร้างเรียกว่า “วัดจองคา” เพราะมุงด้วยหญ้าคา ต่อมาพ่อเฒ่านันตา วงศ์อนันต์ (ตะก่าจองนันตา (อู๋)) ที่เลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนาได้จ้างนายช่างชาวพม่ามาออกแบบและก่อสร้างวิหารขึ้น จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดเพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของท่านเป็น “วัดนันตาราม” ค่ะ จุดเด่นของวัดนันตารามคือ วิหารสร้างตามสถาปัตยกรรมแบบไทใหญ่ที่มีลักษณะคล้ายศิลปะแบบพม่า ซึ่งตัววิหารนั้นสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ตกแต่งลวดลายฉลุไม้ตามส่วนประกอบต่าง ๆ ของวิหารอย่างสวยงาม เช่น หน้าต่าง, หน้าบัน และระเบียง เพดานประดับประดาด้วยกระจกสีที่ลวดลายวิจิตรสวยงามไม่ซ้ำกัน เสาลงรักปิดทองมีทั้งหมด 68 ต้น ส่วนหลังคามุงด้วยแป้นเกร็ดหรือกระเบื้องไม้ เป็นหลังคาหน้าจั่วที่ยกเป็นช่อชั้นลดหลั่นกันอย่างลงตัวสวยงามค่ะ เมื่อเดินเข้ามาภายในวิหาร เราก็กราบไหว้พระประธานที่ตั้งประดิษฐานอย่างโดดเด่นเป็นสง่าเพื่อความเป็นสิริมงคล ซึ่งพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยทรงเครื่องแบบมัณฑะเลย์ แกะสลักด้วยไม้สักทองขนาดใหญ่ทั้งองค์ โดยองค์พระประดิษฐานบนสิงหบัลลังก์ไม้ประดับลวดลายและกระจกสี ส่วนด้านหลังองค์พระแกะสลักไม้ฉลุศิลปะพม่าเป็นลวดลายพรรณพฤกษาสวยงามและมีลายหลุยส์และกามเทพตัวน้อย (คิวปิด) เทพแห่งความรัก 8 องค์ล้อมรอบค่ะ จากนั้นเราเดินไปชมพิพิธภัณฑ์ที่อยู่ทางด้านหลังขององค์พระประธาน ซึ่งพิพิธภัณฑ์นี้เป็นสถานที่เก็บของเก่าหรือสิ่งของหายากต่าง ๆ จัดแสดงไว้อย่างมากมาย เช่น เหรียญและธนบัตรเก่า, พระเครื่อง, สิ่งของเครื่องใช้โบราณ, ตำราโบราณภาษาพม่า, เครื่องดนตรีโบราณ, เขาสัตว์, ผ้าลายโบราณ และภาพวาดเก่าแก่เกี่ยวกับการเทศน์มหาชาติ เป็นต้น พอเราชมพิพิธภัณฑ์เสร็จแล้วก็ออกมาเดินเล่นและถ่ายรูปบรรยากาศรอบ ๆ วัด ซึ่งทางด้านข้างวิหารมี “เจดีย์ยี่สิบห้าศตวรรษ” ที่เป็นเจดีย์แปดเหลี่ยมที่ก่ออิฐถือปูน สร้างตามแบบไทใหญ่ตั้งประดิษฐานไว้ด้วยค่ะ หลังจากเที่ยวชม “วัดนันตาราม” เสร็จแล้วก็ใกล้ถึงเวลามื้อเที่ยงพอดี เรานั่งรถไปกินอาหารมื้อกลางวันที่ “ร้านส้มตำเต็มที่” ซึ่งอาหารที่สั่งไปก็มีตำแคบหมู, ส้มตำไทยปูม้า, ไก่ย่าง และลาบหมู รสชาติโดยรวมอร่อยดีค่ะ กินมื้อเที่ยงจนอิ่มแล้ว เรานั่งรถไปยัง “วัดพระนั่งดิน” กันต่อ ซึ่งวัดพระนั่งดินเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองของเมืองเชียงคำที่หากใครมาเที่ยวเมืองนี้ห้ามพลาดเที่ยวชมเด็ดขาด เนื่องจากวัดแห่งนี้มีความโดดเด่นอยู่ตรงที่พระประธานของวัดอย่าง “พระนั่งดิน” ตั้งประดิษฐานบนพื้นดินภายในพระอุโบสถโดยไม่มีฐานชุกชี (แท่น) รองรับเช่นเดียวกับพระประธานของวัดแห่งอื่น ๆ เพราะเหตุนี้เองจึงกลายเป็นหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น “อันซีนไทยแลนด์” แห่งที่ 2 ของจังหวัดพะเยารองจาก “พระเจ้าตนหลวง” ของวัดศรีโคมคำ อำเภอเมืองค่ะ สาเหตุที่ต้องประดิษฐาน “พระนั่งดิน” พระประธานบนพื้นดินนั้น ผู้เฒ่าผู้แก่ได้เคยเล่าขานตำนานกันต่อ ๆ มาว่าเคยมีชาวบ้านพากันสร้างฐานชุกชีหรือแท่นรองรับเพื่ออัญเชิญพระประธานขึ้นมาวางไว้ แต่ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์ประหลาดที่น่าอัศจรรย์คือฟ้าผ่าลงมากลางพระอุโบสถถึง 3 ครั้ง ชาวบ้านจึงอาราธนาพระนั่งดินลงมาประดิษฐานบนพื้นดินดังเดิมจนถึงทุกวันนี้ บ้างก็ว่าพยายามยกพระนั่งดินหลายครั้งก็ยกไม่ขึ้น ปัจจุบันพระนั่งดินยังคงประดิษฐานบนพื้นพระอุโบสถโดยสร้างมีการกระจกใสครอบไว้ค่ะ หลังจากเข้าไปกราบไหว้พระนั่งดินภายในพระอุโบสถ เราก็เดินออกมาแล้วจึงได้สังเกตเห็นว่าทางด้านข้างพระอุโบสถมีเจดีย์สีทองตกแต่งแบบล้านนาอย่างโดดเด่นสวยงาม ส่วนบริเวณรอบ ๆ วัดมีมุมถ่ายรูปให้ได้ถ่ายรูปกันค่ะ เที่ยวชมวัดพระนั่งดินแล้ว เรานั่งรถต่อไปยัง “วนอุทยานน้ำตกน้ำมิน” ที่ตั้งอยู่ในตำบลแม่ลาว ซึ่งวนอุทยานน้ำตกน้ำมินเป็นน้ำตกหินปูนขนาดเล็กสูง 15 เมตรที่สวยงาม รายล้อมด้วยต้นไม้สีเขียวร่มรื่นตามธรรมชาติ แต่เสียดายที่เราไม่ได้เข้าเดินชมน้ำตก เพราะต้องรีบเดินทางต่อไปยังภูลังกาให้ถึงที่พักก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ไม่อย่างนั้นจะเดินทางลำบาก ประกอบกับช่วงนั้นไม่ค่อยมีน้ำไหลสักเท่าไหร่ เราจึงถ่ายรูปแค่บริเวณด้านนอกเท่านั้นค่ะ จากนั้นเรานั่งรถไปเช็กอินเข้าที่พักที่ตั้งอยู่บนภูลังกาชื่อ “Ozone โฮมสเตย์” ซึ่ง Ozone โฮมสเตย์ เป็นที่พักที่มีทั้งแบบกางเต็นท์, แบบห้องไม้ไผ่ และแบบห้องพักสไตล์ Loft (ทั้งห้องพัดลมและห้องแอร์) โดยเราพักในห้องพักสไตล์ Loft แบบพัดลม พอเดินไปชมวิวริมระเบียงห้องพัก บอกเลยว่าวิวสวยมาก เห็นผาช้างน้อยชัดเจนสุด ๆ ด้วยความที่เราชมวิวจนเพลินเลยลืมถ่ายรูปห้องพัก สำหรับใครที่วางแผนจะไปเที่ยวภูลังกาและมองหาที่พักอยู่ เราขอแนะนำ “Ozone โฮมสเตย์” ค่ะ หลังจากเก็บกระเป๋าและพักเหนื่อยจากการเดินทางได้สักพักใหญ่แล้ว เราสั่งหมูย่างเกาหลีเป็นอาหารเย็นมากินในห้องพักริมระเบียง ซึ่งหมูย่างเกาหลีของที่พักจัดเต็มมาก มีทั้งไส้กรอก, เบคอน, สันคอหมู, หมูสามชั้น, กุ้ง, ปลาหมึก และผักต่าง ๆ ที่สำคัญน้ำจิ้มอร่อยมาก แถมมีหม้อน้ำซุปสำหรับซดให้คล่องคออีกด้วย กินไป ชมวิวไปเพลิน ๆ ทั้งอิ่ม ทั้งฟินเลยค่ะ 5555 วันรุ่งขึ้นเราตื่นเช้าและเดินไปนั่งกินอาหารเช้าที่ร้าน “ภูลังกา เลอ บาโคนี่” ซึ่งเราสั่งอาหารเช้ามา 2 ชุดด้วยกัน แต่ต่างกันที่เครื่องดื่มเป็นน้ำส้มกับโอวัลตินร้อน ส่วนซาลาเปาเป็นของแถม เรานั่งกินไปชมวิวยามเช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นไปอย่างชิลล์ ๆ สำหรับใครที่ชอบนั่งกินอาหารไปพร้อม ๆ กับชมวิวสวย ๆ แนะนำให้มาร้านนี้เช้า ๆ หน่อย บอกเลยว่าวิวสวยมากจริง ๆ ยิ่งอากาศเย็น ๆ แบบนี้ฟินสุด ๆ ค่ะ ^^ พอกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว เราเดินกลับที่พักมานั่งชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่ริมระเบียงห้องพักกันต่อ ชมวิวไป ถ่ายรูปไป สวยงามตามท้องฟ้ากับสายหมอกจริง ๆ ไม่ว่าจะนั่งมุมไหนก็สวยไปหมด แต่ถ้าหมอกลงมาหนา ๆ ปกคลุมผาช้างน้อย วิวจะสวยกว่านี้อีกค่ะ เสียดายช่วงที่เราไป หมอกลงบางไปนิด แหะ ๆ 😅😅😅 จากนั้นเราเก็บกระเป๋าและเช็กเอาท์ออกจากที่พักแล้วนั่งรถไปเที่ยวชม “น้ำตกภูซาง” กันต่อ ซึ่งน้ำตกภูซางตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูซาง อำเภอภูซาง ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 300 เมตร เป็นน้ำตกกระแสน้ำอุ่นชั้นเดียวที่มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาดอยผาหม่นไหลลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่างสูง 25 เมตร และมีน้ำไหลตลอดทั้งปี โดยน้ำตกแห่งนี้พิเศษกว่าน้ำตกแห่งอื่น ๆ ตรงที่น้ำอุ่นในอุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 35-36 องศาเซลเซียสและน้ำใสสะอาด ปราศจากกลิ่นกำมะถัน ส่วนใต้น้ำตกมีแอ่งน้ำใสสีเขียวมรกตให้สามารถลงเล่นน้ำคลายร้อนหรือแช่น้ำได้อย่างฟิน ๆ จุใจ ถือได้ว่าน้ำตกภูซางเป็นน้ำตกกระแสน้ำอุ่นเพียงแห่งเดียวในประเทศไทยเลยล่ะค่ะ นอกจากนั้นทางตอนเหนือของน้ำตกยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้เดินชมธรรมชาติรอบ ๆ น้ำตกอีกด้วย ซึ่งจุดเด่นของเส้นทางศึกษาธรรมชาติคือ “บ่อซับน้ำอุ่น” ที่เป็นแหล่งต้นน้ำของน้ำตกภูซาง โดยมีลักษณะเป็นธารน้ำอุ่นที่ผุดขึ้นจากใต้พื้นดิน ล้อมรอบด้วยป่าพรุน้ำจืดที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้หรือพรรณไม้หายากนานาชนิดให้ได้ศึกษากันค่ะ หลังจากชมน้ำตกภูซางแล้วก็ใกล้ถึงเวลาอาหารมื้อเที่ยงพอดี เรานั่งรถไปกินอาหารมื้อเที่ยงที่ร้าน “ลาบโมโยลื้อ” ซึ่งร้านนี้ตั้งอยู่บนถนนสิทธิประชาราษฎร์ 3 พะเยา (บ้านธาตุสบแวน) เข้าซอยมา 100 เมตร อาจหายากและดูลึกลับไปสักนิดหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะมากินอาหารร้านนี้ ต้องถามชาวบ้านในพื้นที่ระหว่างนั่งรถเข้ามา โดยร้านอยู่ใต้ถุนหรือพื้นที่ด้านล่างของบ้านไม้ยกสูง ส่วนอาหารมื้อเที่ยงที่เราสั่งได้แก่ แหนมซี่โครงหมูทอด, ทอดรวม, ยำวุ้นเส้น และส้มตำไทย รสชาติโดยรวมถือว่าอร่อยทีเดียว โดยเฉพาะแหนมซี่โครงหมูทอดกับทอดรวมที่เราแนะนำให้สั่งเลยค่ะ 👍👍👍 เรากินอาหารเที่ยงจนอิ่มแล้วเดินทางไปยัง “วัดพระธาตุสบแวน” ในตำบลหย่วนกันต่อ ซึ่งวัดพระธาตุสบแวนตั้งอยู่บริเวณที่แม่น้ำสองสายคือ “แม่น้ำแวน” กับ “แม่น้ำฮ่อง” มาสบหรือบรรจบกัน พอเดินทางมาถึงวัด เราก็เข้าไปกราบไหว้พระประธานในพระอุโบสถแล้วจึงเดินออกมาข้างนอกเพื่อชมองค์พระธาตุเจดีย์ค่ะ ส่วนทางด้านหลังของพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานองค์พระธาตุเจดีย์เก่าแก่ สันนิษฐานว่าน่าจะมีอายุมากกว่า 800 ปี ซึ่งองค์พระธาตุเป็นเจดีย์สีขาวสะอาด ฐานสี่เหลี่ยม บนยอดเจดีย์ประดับด้วยฉัตรสีทอง ตกแต่งด้วยศิลปะล้านนา ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วประดับรูปปั้นสิงห์อยู่ทั้งสี่มุม โดยภายในพระธาตุบรรจุเส้นพระเกศาและกระดูกส่วนคางของพระพุทธเจ้าค่ะ เราชมองค์พระธาตุเจดีย์เสร็จแล้วจึงเดินเข้าไป ชมภาพจิตรกรรมใน “หอประวัติไทลื้อ บ้านธาตุสบแวน” (ศาลาสิบสามห้อง) กันต่อ ซึ่งหอประวัติไทลื้อเป็นสถานที่รวบรวมและจัดแสดงภาพจิตรกรรมที่วาดโดยศิลปินภายในชุมชนทั้งหมด 13 ภาพ โดยภาพเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของชาวไทลื้อในอำเภอเชียงคำค่ะ ภาพที่เห็นด้านบนนี้เป็นตัวอย่างภาพจิตรกรรมในหอประวัติไทลื้อฯ ได้แก่ ภาพ “สิบสองปันนา” เกี่ยวกับการเมืองการปกครองในดินแดนสิบสองปันนา, ภาพ “บ้านธาตุสบแวน” เกี่ยวกับการขยับขยายบ้านเรือนไปสู่บ้านธาตุสบแวน, ภาพ “งานบุญสลากภัต” เกี่ยวกับประเพณีตานสลาก หรือการทำบุญให้กับผู้ล่วงลับ และภาพ “ไหว้สาเจ็ดปิง” เกี่ยวกับประเพณีการสักการะไหว้พระธาตุสบแวนค่ะ หลังจากเราเที่ยวชมวัดพระธาตุสบแวนแล้วก็นั่งรถไปเช็กอินที่ “โรงแรมเชียงคำ แกรนด์ วิลล่า” ซึ่งโรงแรมเชียงคำ แกรนด์ วิลล่าเป็นโรงแรมหรูขนาดเล็กล้อมรอบด้วยทุ่งนาหรือธรรมชาติสีเขียว โดยพื้นที่ภายในห้องค่อนข้างกว้างขวาง สำหรับใครที่มาเที่ยวเชียงคำ แนะนำให้มาพักที่นี่เลย ทั้งสงบ สะอาด และปลอดภัยแน่นอน สามารถจองห้องพักได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ “Chiang Kham Grand Villa เชียงคํา เเกรนด์ วิลล่า” เสียดายภาพโรงแรมที่เราถ่ายรูปมานั้นไม่ชัด เพราะถ่ายในช่วงกลางคืนเลยไม่ได้ลงรูปให้ชมกัน พอไปถึงโรงแรม เราเช็กอินเข้าที่พัก เก็บกระเป๋า และพักเหนื่อยสักพักก่อนจะเดินไปกินอาหารเย็นค่ะ พอถึงเวลาอาหารเย็น เราเดินไปกินอาหารเย็นในร้านอาหาร “ร่มไม้แสงจันทร์” ที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรม ซึ่งร้านร่มไม้แสงจันทร์เป็นบ้านไม้ท่ามกลางบรรยากาศท้องนา ร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่ปกคลุมรายล้อม ถือเป็นร้านอาหารที่มีบรรยากาศดีทีเดียว เหมาะสำหรับมานั่งกินอาหารมื้อเย็นอย่างชิลล์ ๆ อากาศเย็นสบาย ๆ โดยอาหารที่เราสั่งมีทั้งหมูจิ้มจุ่ม, ผัดกบ, ข้าวผัดทะเล และไก่ทอดมายองเนส ความเห็นส่วนตัวเราว่าเมนู “ไก่ทอดมายองเนส” อร่อยสุด 5555 พอกินอาหารเย็นเสร็จก็เดินกลับที่พักเพื่ออาบน้ำนอนค่ะ วันรุ่งขึ้นเราตื่นสาย กว่าจะออกจากโรงแรมก็เกือบเที่ยงแล้ว เราจึงเดินออกมากินอาหารเที่ยงที่ร้าน “ส้มตำยกครกเชียงคำ” ซึ่งร้านนี้ตั้งอยู่บนถนนใหญ่เยื้อง ๆ กับโรงแรมที่เราพัก เป็นร้านอาหารทั่ว ๆ ไป มีทั้งแบบอินดอร์และเอาท์ดอร์ โดยอาหารที่เราสั่งนั้นมีทั้งแคปหมู (หมูกระจก), ยำวุ้นเส้น, ปีกไก่ทอด, คอหมูย่าง, ส้มตำ และต้มแซ่บ รสชาติอาหารโดยรวมก็อร่อยดีค่ะ 👍👍👍 พอเรากินอาหารเที่ยงเสร็จก็เดินทางกลับมาที่พัก เพื่อนอนเล่น ดูยูทูบเรื่อยเปื่อยจนเผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีก็ถึงเวลาช่วงเย็นแล้ว เราก็เตรียมตัวอาบน้ำเพื่อไปกินอาหารเย็นที่ร้านอาหารเดิม เพราะอยู่ใกล้ที่พักที่สุดแล้ว 5555 ระหว่างเดินไปยังที่พัก เราก็ถ่ายรูปวิวระหว่างทางนิด ๆ หน่อย ๆ ค่ะ พอเราเดินไปถึงร้านอาหาร เราก็สั่งเมนูข้าวผัดปู, ข้าวผัดทะเล, ข้าวกะเพราทะเล, ไก่ทอดมายองเนส และต้มยำกุ้งน้ำใส รสชาติโดยรวมอร่อยดี แต่ติดใจเมนูไก่ทอดมายองเนสสุดแล้ว ติดใจถึงขนาดต้องมากินอีกรอบก่อนกลับกรุงเทพฯ เลยทีเดียว 5555 หลังกินอาหารเย็นเสร็จก็เดินกลับที่พักเพื่อเก็บกระเป๋าและเช็กเอาท์ออกจากโรงแรม (เพิ่มเงินเพื่อขยายเวลาพักประมาณครึ่งวัน) แล้วจึงนั่งรถสองแถวไปยังท่ารถ บขส.สมบัติทัวร์ เพื่อกลับกรุงเทพฯ ระหว่างทางกลับก็แวะเข้าห้องน้ำและซื้อของฝาก จนกระทั่งเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ ในตอนเช้ามืด และนั่งรถแท็กซี่มาทำงานต่อที่บริษัทค่ะ 😁😁😁 สำหรับวันนี้เรารีวิวจบไปแล้ว ส่วนใครที่ชื่นชอบวัฒนธรรมไทลื้อล่ะก็... ลองแวะมาเที่ยวชมเมืองเล็ก ๆ แต่มีเสน่ห์ในจังหวัดพะเยาอย่างเมือง “เชียงคำ” กันได้นะคะ ที่สำคัญในช่วงฤดูหนาวที่ภูลังกา เพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ยังได้สัมผัสลมหนาวและเห็นทะเลหมอกหนา ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสวยงามยามเช้าช่วงพระอาทิตย์ขึ้นอีกด้วยค่ะ ^^ พิกัด: ตลาดเชียงคำ, วัดนันตาราม, ร้านส้มตำเต็มที่, วัดพระนั่งดิน, วนอุทยานน้ำตกน้ำมิน, Ozone โฮมสเตย์, ภูลังกา เลอ บาโคนี่, น้ำตกภูซาง, ร้านอาหารลาบโมโยลื้อ, วัดพระธาตุสบแวน, โรงแรมเชียงคำ แกรนด์ วิลล่า, ร้านอาหารร่มไม้แสงจันทร์, ร้านส้มตำยกครกเชียงคำ ออกแบบหน้าปกใน Photoshop โดย: Windy_55 (ผู้เขียน)เครดิตภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย: Windy_55 (ผู้เขียน)อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !