ตอนนี้หลายคนคงจะหฃับมาจากหยุดปีใหม่กันแล้วสินะ และบางคนคงได้เดินทางพักผ่อนเช่นกัน เราเองก็อยากเล่าการเดินทางทริปสั้น ๆ ในช่วงต้นเดือนธันวาให้ฟังสักนิด วันหนึ่งช่วงบ่ายขณะที่กำลังนั่งเบื่อทั้งงานและสิ่งรอบตัวที่อะไร ๆ ก็ไม่เป็นดั่งใจ แม่เดินมาบอกว่า “ น้ามีบัตรลงแพ เที่ยว พัก กินฟรีตลอดทริป สนใจไหม ” โถ ๆๆ แม่จ๋าใครบ้างไม่ชอบของฟรีล่ะจ๊ะ เรารีบตกปากรับคำเร็วกว่าใจคิด “ เดินทางพรุ่งนี้นะ ” แม่กำชับ นานเท่าไรจำไม่ได้แล้ว ที่ไม่ได้ออกเดินทาง ได้แต่จมอยู่กับตัวเองและกองงาน จนสมองและใจเริ่มตีบตัน กลายเป็นคนไม่ไว้ใจโลก สำหรับเราโลกมันโหดร้ายขึ้นทุกวัน ยิ่งรู้ตัวเองว่าไม่ทันคน ที่ผ่านมาจึงเลือกเซฟตัวเองไว้ในจุดปลอดภัย กับคนคุ้นเคย และสิ่งคุ้นชินมากกว่า ภาพโดย ชาตรี แก้วบุญเพิ่ม ผู้เขียน วันรุ่งขึ้น เราจัดกระเป๋าเสร็จ ออกมารอให้น้าไปส่งก่อนเวลานานโข (ดูไม่ค่อยตื่นเต้นเลยเนอะ) พักใหญ่เสียงรถเก๋งมาจอดหน้าบ้าน รีบหอบเป้และกระเป๋าคู่กายขึ้นรถอย่างไม่รอช้า ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็ถึงท่าน้ำในตัวเมืองกาญจนบุรี ที่คนพื้นถิ่นเรียก มันคือปลายสายแม่น้ำแควใหญ่ กับแควน้อย ที่ไหลรวมบรรจบเป็นแม่น้ำแม่กลอง ท้องน้ำกว้างใหญ่ มีเรือนแพอยู่เป็นชุมชนบ้านกลางน้ำ แต่ละหลังสีสันสะดุดตา ถือเป็นอาชีพสร้างรายได้และชื่อเสียงให้จังหวัดอีกอันหนึ่ง เราก้าวลงจากท่าเทียบแพอย่างระมัดระวัง ขณะคลื่นน้ำโยกแพเป็นระยะ ด้านในแพเป็นห้องโล่งกว้าง แพสองหลังถูกผูกติดกัน หนึ่งใช้ทำกิจกรรม ส่วนด้านหลังเป็นที่พักหลับนอน เราเดินข้ามมาถึงจัดแจงหาทำเลของตัวเอง เลือกที่มันไกลผู้คน เพราะไม่อยากสุงสิงกับใคร จวบจน เวลาประมาณบ่ายสามโมงเสียงเครื่องยนต์เริ่มดังเป็นสัญญาณเดินทาง ภาพโดย ชาตรี แก้วบุญเพิ่ม ผู้เขียน เรือลำเล็ก ๆ เริ่มฉุดลากแพสองหลัง เชือกเส้นใหญ่ตึงตามกำลังลาก จุดหมายคือทวนกระแสน้ำ สู่อำเภอไทรโยค อันสงบท่ามกลางธรรมชาติ เราเลือกมุมแพเงียบ ๆ นั่งมองทิวทัศน์ฝั่งแม่น้ำ ขอปล่อยชีวิตอ้อยอิ่งตามกระแสน้ำสักวัน มีชุมชนริมน้ำ แพปลา บ้านพักให้เห็นเป็นระยะ ภาพโดย ชาตรี แก้วบุญเพิ่ม ผู้เขียน ในจุด ๆ หนึ่ง เมื่อหัวใจเริ่มสงบ ด้วยระลอกคลื่นซ้ำ ๆ ที่ขับกล่อม สายตาทอดไกลเหม่อลอย ความคิดต่าง ๆ เริ่มประมวลผล “ ชีวิตก็คงเหมือนแพละมั้ง อยู่ที่เราจะใช้อะไรลากจูง สติหรืออารมณ์ ” ถ้าเป็นอย่างแรกไม่ว่าคลื่นจะแรงแค่ไหนก็ฝ่าไปได้ แต่ถ้าอย่างหลังอาจจะล่มตั้งแต่ไม่ออกจากท่า เมื่อเป็นเช่นนี้ก็พาลคิดถึงเรื่องในปีที่ผ่าน บางทีคนเราคงต้องใช้ที่สงบ ๆ ทบทวนตัวเองบ้าง ไม่ต่างจากบริษัทยังมีประชุมปิดไตรมาสเพื่อประเมินผลงานและวางแผนในปีหน้า นี่คือการประชุมกับหัวใจตัวเอง ตั้งใจว่าปีหน้าจะต้องใจเย็นกว่านี้ ลืมเรื่องเก่า ๆ คนเก่า ๆ ที่ทำให้เสียใจ และไม่ทำให้คนที่รักเราเสียใจ คิดได้แบบนี้เหมือนได้ลอยสิ่งไม่ดีไปกับน้ำเสียบ้าง “ นั่งคิดอะไรอยู่เหรอ ? ” เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง เราหันไปยิ้มตอบตามธรรมเนียม ไม่มีความหมายแฝง ผู้หญิงแปลกหน้า ร่างท้วม ผิวเข้ม รุ่นราวเดียวกันยังส่งสายตาและยิ้มเป็นมิตรมาให้ “ มองน้ำไปเรื่อย ๆ ครับ ” เราตอบและจบการสนทนาแค่นั้นไม่มีประโยคต่อไป ภาพโดย ชาตรี แก้วบุญเพิ่ม ผู้เขียน ต้องยอมรับเรื่องหนึ่งว่า เราอัธยาศัยไม่ดีเป็นข้อเสียที่แก้ไม่หาย ไม่เฟรนด์ลี่ ในขณะที่บางคนสามารถทำความรู้จักกับคนอื่นในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที แต่เราทักไม่เป็น ยิ้มก็ยาก เลยเลือกอยู่คนเดียวเงียบ ๆ มุมมืด ๆ ปกป้องตัวเองเหมือนทุเรียนหนามแหลม ๆ ดีกว่าสร้างความสัมพันธ์ที่สุดท้ายคนเจ็บคือเราเอง หลังเหตุการณ์ดังกล่าวต่างก็แยกย้าย เธอหายไป ส่วนเรายังอยู่ที่เดิม จนได้เวลาอาหารเย็น เมนูเป็นปลาสด ๆ จากแม่น้ำจึงอร่อยเป็นพิเศษ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว บนแพมีกิจกรรมรื่นเริงคนในแพต่างสนุกไปกับดนตรี แต่เราไม่ชอบขอไปอยู่เงียบ ๆ เช่นเคย จนได้เวลานอน ประมาณสามสี่ทุ่ม อากาศที่เย็นมากเรามีเพียงเสื้อกันหนาวตัวเดียวด้วยความขี้เกียจหอบสัมภาระ ซึ่งผลกรรมที่ตามมาคือต้องนอนหนาวขดในเสื้อ ไอเย็นจากน้ำรอบทิศทางโจมตีเข้ามาราวกับบทลงโทษ รู้สึกอีกทีตอนค่อนคืนเมื่อรู้สึกว่ามีผ้าห่มอุ่น ๆ ถูกคลุมบนร่าง เราหรี่ตามองพอจำได้เลา ๆ ว่าใครแต่ก็งัวเงียเกินจะตอบรับใด ๆ และหลับต่อไป รุ่งสางวันกลับ เสียงเรือยนต์เล็ก ๆ ค่อย ๆ ดังใกล้เข้ามา ปลุกให้เราตื่น ตากับยายสองคนเจ้าของเรือพร้อมสิ่งของจำเป็นเหมือนเซเว่นเคลื่อนที่ ทั้งขนม นม เนย กาแฟ “ ขอกาแฟขม ๆ ไม่ใส่น้ำตาลครับ ” เราร้องสั่งสูตรประจำตัว คุณยายจัดให้ตามสั่งด้วยความชำนาญแม้เรือจะโคลงเคลง ไม่นานกาแฟร้อน ๆ ก็มาถึงมือ ให้เราจิบไปพร้อมเฝ้าดูฉากชีวิตที่ค่อย ๆ เริ่มจากฟ้าสางจนสว่าง เรือลำแล้ว ลำเล่าแวะเวียนมาจอด ของใช้ เสื้อผ้า มีให้บริการนักท่องเที่ยว ผู้คนก็เริ่มตื่นมาจับจ่ายแต่ “ ไร้วี่แววใครบางคน ” ภาพโดย ชาตรี แก้วบุญเพิ่ม ผู้เขียน หลังจากทำภารกิจส่วนตัวยามเช้า เสียงแพประกาศทานอาหารมื้อสุดท้ายก่อนกลับ วันนี้มีข้าวต้มธรรมดา แต่ก็ช่วยให้อบอุ่นขึ้นมาก เมื่อต้องลาจากเรือนแพ ในที่สุดก็ได้เจอเจ้าของผ้าห่ม ใช่หญิงสาวร่างท้วมผิวเข้มนั่นเอง “ ขอบคุณนะครับสำหรับผ้าห่มเมื่อคืน ” เรามองและกล่าว เธอยิ้มให้ด้วยสายตาเป็นมิตร แต่ขณะเดียวกันไม่ทันจะตั้งตัว ร่างของเราถูกดึงไปกอด ความรู้สึกดีอย่างประหลาดเต็มตื้นในใจ นานแค่ไหนที่ไม่ได้รับอ้อมกอดอบอุ่น อาจจะมากพอ ๆ กับเวลาที่เก็บตัวเอง และไม่สนใจใคร ภาพโดย ชาตรี แก้วบุญเพิ่ม ผู้เขียน ต้องขอโทษหากเธอได้อ่านบทความนี้ ที่ไม่มีโอกาสถามชื่อ แค่ได้เป็นเพื่อนกันก็ยังดี ถึงตอนนี้มันทำให้คิดได้ว่า “ จริง ๆ คนเราไม่ได้กลัวการเริ่มต้นใหม่ แต่กลัวจุดจบมันต่างหาก ” แต่แม้ว่าวันนี้ ขณะนี้เราต้องกลับมาอยู่ในโลกใบเดิม ๆ แล้ว อย่างน้อยก็ยังมีดวงไฟ อบอุ่นเล็ก ๆ ที่หญิงสาวแปลกหน้ามอบให้ " ขอบคุณจากใจ " จากผู้ชายชอบเหม่อ และขดตัวใต้เสื้อกันหนาวสีแดง