ย้อนไปเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว “ภูสอยดาว” เป็นหนึ่งในลิสต์สถานที่ท่องเที่ยวที่อยากไปที่สุด ซึ่งตอนนั้นอ้วนมากเกือบ 100 กิโลกรัม การจะแบกน้ำหนักขนาดนั้นขึ้นภูเขาสูงเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทย ด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,2102 เมตร รวมระยะทางกว่า 6.5 กิโลเมตร ซึ่งต้องใช้เวลาเดินเท้ากว่า 4-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความฟิตร่างกายแต่ละคน และที่สำคัญที่สุดมันชันตลอดเส้นทาง เพราะฉะนั้นพับแพลนจ้า... แต่ แต่ แต่... ช่วงกลางปี 2562 เพื่อนรอบตัวที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากไปภูสอยดาว ก็เริ่มมารบเร้าอีกครั้ง โดยมีแพลนการเดินทาง คือ ช่วงปลายปี ซึ่งฉันเองก็ยังเป็นคนอ้วนอยู่ แต่ที่ไม่เหมือนเดิม คือ แข็งแรงขึ้น ตั้งแต่รู้จักการออกกำลังกาย คราวนี้ตัดสินใจรับคำชวน "เอาวะ ภูสอยดาว ขึ้นก็ขึ้น!" จากนั้นเราเริ่มวางแพลนออกกำลังกายเพื่อฟิตร่างกายให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ด้วยการวิ่งอย่างน้อยวันละ 5 กิโลเมตร มีเวทบ้าง แพลงค์บ้าง เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งมันได้ผลนะ เราแข็งแรงขึ้น ออกกำลังกายได้มากขึ้นด้วย และเราก็ได้กลายเป็นหมูที่แข็งแรง เมื่อถึงเวลาเดินทาง เราเลือกที่จะแบกของทุกอย่างขึ้นไปเองโดยไม่จ้างลูกหาบ ก็แหมฟิตร่างกายมาขนาดนี้คงไหวแหละ ซึ่งต่อให้ไม่ไหวเราก็จะสู้ น้ำหนักกระเป๋าก็ประมาณ 20 กิโลกรัม เราเริ่มเดินทางขึ้นภูสอยดาวประมาณ 10.00 น. เอาเข้าจริง ๆ จะตายตั้งแต่ 1 กิโลเมตรแรก เพราะมันชันขึ้นตลอด ไม่มีทางราบเลย เริ่มเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า “คิดถูกหรือคิดผิดวะ เอ๊ะเรามาทำไมวะ ทำไมต้องพาตัวเองมาลำบากขนาดนี้ด้วย” ขณะที่สองขายังก้าวเดินไม่หยุด ไม่ใช่ไม่เหนื่อยนะ เพราะทางมันแคบถ้าเราหยุดข้างหลังก็ต้องหยุด ฉะนั้นเราจะหยุดไม่ได้เดี๋ยวเสียฟอร์ม เพราะชุดเดินทางนางก็จัดเต็ม แลดูเป็นนักเดินป่า จะออกอาการมากไม่ได้ กัดฟันฮึดสู้เดินต่อเรื่อย ๆ มีหยุดพักบ้างตามจุดที่พอพักได้ แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ฝนตกแรงมากไม่มีท่าทีว่าจะหยุดที่หลบฝนก็ไม่มี แต่ก็ยังดีที่อ่านรีวิวไปบ้าง เขาแนะนำให้เอาเสื้อกันฝนไปด้วย แต่ก็นั่นแหละเสื้อกันฝนเรามันเป็นแบบฟรีไซส์ ซึ่งเรามันเป็นไซส์เฉพาะไง ( XXL ) เสื้อกันฝนขาดจ้า คลุมได้แค่กระเป๋า ส่วนเราเดินตากฝนต่อไป ( ที่ต้องเดินต่อเพราะถ้าหยุดรอจนฝนหยุดตก จะขึ้นถึงยอดเขาค่ำ ซึ่งข้างบนไม่มีไฟฟ้าฉะนั้นต้องรีบ ) และแล้วเราก็ขึ้นมาถึงยออดเขาอย่างทุลักทุเล แปดเปื้อนไปด้วยดินโคลน แต่เมื่อถึงยอดแล้วก็ใช่ว่าจะได้พักเลยนะจ๊ะ พวกเราเดินถึงยอดเขาประมาณ 17.30 น. แสงก็เริ่มอ่อนแรงลงเหมือนเราที่กำลังจะหมดแรงไปด้วย แต่การเดินขึ้นถึงยอดเขาก็ไม่ได้แปลว่าภารกิจคุณสำเร็จนะจ๊ะ ต้องเดินต่อไปยังลานกางเต็นท์อีกประมาณ 2 กิโลเมตร ด้วยเนื้อตัวที่เปียกชุ่มหลังฝนตก กับลมเย็นๆ พร้อมไอหมอกใครที่บอกว่าคนอ้วนหนาวไม่เป็นนะจะตีปากให้ หนาวมากเหมือนกันจ่ะ แต่ถึงอย่างไรเราก็ต้องหอบร่างอันหนาวสั่นพร้อมกระเป๋า 20 กิโล ไปจนถึงลานกางเต็นท์ พร้อมจัดเตรียมที่นอนสำหรับคืนนี้ ซึ่งก็กะว่าจะไปเช่าที่รองนอนด้านบนแต่..... "หมด!!" เดชะบุญที่มีถุงนอนไปด้วย หากให้พูดถึงสิ่งอำนวยความสะดวกบนนั้น บอกเลยว่าไม่มี แต่ก็มีจุดบริการนักท่องเที่ยวไว้ให้เช่าที่รองนอน, เตา ( แต่ถ่านไม่มีนะเอาขึ้นไปเอง ), ถังน้ำ, ขัน และผ้ายางรองเต็นท์ ที่เหลือคุณต้องช่วยชีวิตตัวเองแล้วแหล่ะ แต่จุดพีคของเรา คือ "ห้องน้ำ" เพราะกว่าจะจัดแจงที่นอนเสร็จ ก็มืดจนมองไม่เห็นอะไรแล้ว ห้องน้ำก็ไม่มีไฟฟ้า เอาจริง ๆ ข้างบนมีไฟฟ้าเพียงจุดเดียว คือ ที่ทำการเจ้าหน้าที่ ที่เหลือคุณต้องช่วยชีวิตตัวเองแล้วล่ะ เอาวะสภาพขนาดนี้ไม่อาบก็คงไม่ไหว เราไปเช่าถังและขันเพื่อไปตักน้ำในลำธารใกล้ห้องน้ำมาอาบ ในห้องน้ำที่ไม่มีไฟ ซึ่งน้ำ 1 ถัง เราต้องทำให้เสร็จทุกอย่าง และเมื่อเห็นสภาพห้องน้ำแล้ว คำถามเดิมผุดขึ้นมาอีกครั้ง "ฉันมาทำอะไรที่นี่?" และกัดฟันทำธุระตัวเองต่อจนเสร็จ จบภารกิจของคืนแรกด้วยการกินสุกี้เคล้าไอหมอกบนยอดภูสอยดาว และหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืนในถุงนอนบนพื้นที่ขรุขระ พีคในพีค คือ เมื่อแสงสว่างเริ่มวันใหม่ เราจึงรู้ว่าลำธารที่เราไปตักน้ำมาอาบนั้นมันอยู่ต่ำกว่าห้องน้ำ แลเป็นช่วงท้าย ๆ ของลำธาร ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ใช้น้ำอยู่ข้างบนเราไปอีก ผิวน้ำนี่มันเยิ้มเชียวล่ะ อ้วกแทบพุ่งทีเดียว แต่ก็นะมันผ่านมาแล้วทำได้อย่างเดียว คือ "ทำใจละกัน" ยังไงซะเราก็มาเที่ยวจะให้มาสบายก็ไม่ได้อะเนาะ เดินเที่ยวรอบยอดภูอีกกว่า 10 กิโลเมตร ให้ธรรมชาติเยียวยาจิตใจแล้วกัน เมื่อเสพสุขกับธรรมชาติและไอหมอกจนอิ่มหนำสำราญ ก็ถึงเวลาที่ต้องจากจร เก็บสิ่งของและขยะที่เอาขึ้นไปลงมาหมดทุกอย่าง เหลือไว้แต่รอยเท้า ซึ่งขาขึ้นว่าทรมานแล้วนะ ขาลงนี่นรกชัด ๆ เลย เพราะร่างกายที่เหนื่อยล้าจากขาขึ้นเมื่อวาน ก็ทำพิการไปครึ่งซีกแล้ว ด้วยความชันที่ทำให้เราต้องเกร็งงขาตลอดการเดินลงเขา ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นตะคริวอยู่ตลอดเวลา และพื้นผิวของทางเดินที่โดนฝนเมื่อว่าทำให้ดินลื่นมากจนต้องระวังเป็นพิเศษ แต่กว่าจะลงถึงตัวอุทยานด้านล่างจากพิการไปครึ่งซีก ตอนนี้ก็น่าจะพิการไปทั้งตัวแล้วล่ะ การเดินทางวัดใจในครั้งนี้พวกเราใช้เวลา 2 วัน 1 คืน มีผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 4 คน ตลอดการเดินทางบอกไว้ตรงนี้เลยว่าไม่มีคำว่าสบาย มีแต่คำว่าเจ็บปวด ( ปวดเนื้อปวดตัวอ่ะนะ ยาคลายกล้ามเนื้อทั้งแบบกินและแบบทาต้องเตรียมไปด้วย ) และเหนื่อยล้า แต่ถามว่าคุ้มมั๊ยต้องแล้วแต่มุมมองเลย ซึ่งส่วนตัวมองว่าภูสอยดาวนี่มีเสนห์ไม่เบาเลยล่ะ เพราะไม่ใช่แค่ว่ามีใจก็มาได้ แต่ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อมด้วย บางคนขึ้นไปจะถึงยอดเขาอยู่แล้วแต่ก็ไปต่อไม่ไหว เพราะฉะนั้นจะไปเที่ยวภูสอยดาวจึงไม่ใช่แค่การไปเที่ยวป่า แต่ต้องมีการวางแผนสภาพร่างกายให้แข็งแรงพร้อมกับสภาพจิตใจที่เข้มแข็ง จึงจะพิชิตภูสอยดาวได้ โดยเฉพาะคนอ้วนอย่างเรา ภาพถ่ายโดย : นักเขียน