ปกติถ้าคิดถึงเวียดนาม หลายคนอาจจะเลือกแวะเมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง ดาลัท ดานัง หรือ มุยเน่ เมืองเเห่งทะเลทราย แต่ทริปเวียดนามที่ผมเเละเเม่ได้ไปสัมผัสมานั้นเเตกต่างออกไป เพราะเป้าหมายของพวกเราคือ การไปสัมผัส 'ประวัติศาสตร์ของสงครามเวียดนามในอีต' **หมายเหตุ ภาพทุกภาพในบทความนี้ถูกถ่ายโดยเจ้าของบทความ (Callmepetchy) หลังจากผ่านคืนเเรกในโฮจิมินห์ ผมเเละเเม่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนเช้าตรู่ เพื่อรีบถีบตัวเองขึ้นมาทานอาหารเช้าที่โรงเเรม วันนี้เรามีนัดกับไกด์ทัวร์นาม Kenny ที่จะมารับตอน 8 โมง เพื่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านกู๋จี ที่ห่างออกไปจากโฮจิมินห์ประมาณ 1 ชั่วโมง พวกเราจับจองที่นั่งบนรถทัวร์ ก่อนคนขับจะพาทะยานออกไปบนถนนที่ขึ้นชื่อว่า 'มอเตอร์ไซค์เป็นใหญ่' กล่าวคือ บนถนนของโฮจิมินห์จะมีจำนวนของรถมอเตอร์ไซค์เยอะมาก เเต่ละคันจะบีบเเตรอยู่ตลอดเวลา การบีบเเตรของที่นี่ไม่ได้มีไว้เพื่อเเสดงการตำหนิผู้อื่น หากเเต่เป็นการประกาศให้รถคันอื่นคอยระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ความเขียวชอุ่มของต้นไม้ใหญ่สองฝั่งถนนก็ช่วยผ่อนคลายพวกเราได้เป็นอย่างดี สถานที่เเรกที่คณะทัวร์ของเราจะเเวะไปเยี่ยมเยือนก็คือ 'ศูนย์หัตถกรรมเเละงานฝีมือ' ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูเเลของรัฐบาลเวียดนาม ที่นี่มีพนักงานเป็นลูกหลานหรือผู้ประสบภัยจากสงครามเวียดนาม บางคนมาทำงานทั้งที่ยังนั่งอยู่บนรถเข็นครับ ที่นี่จะเป็นศูนย์จำหน่ายงานฝีมือสวย ๆ มากมาย เเต่พวกเราไม่ได้ซื้ออะไรครับ เพราะราคาค่อนข้างเเพงพอสมควร ได้มาเยี่ยมชมเเค่นี้ก็คุ้มค่าเเล้ว ถือว่าพอหอมปากหอมคอครับ หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที ไกด์ Kenny ก็เรียกพวกเราขึ้นรถอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านกู๋จี รถจะจอดไว้ที่ด้านหน้า ส่วนพวกเราก็เดินตามไกด์ไป ตรงจุดนี้จะมีการเก็บค่าเยี่ยมชม 110000 VND หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยเเล้วก็จะได้สติ๊กเกอร์มาแปะตรงหน้าอก สามารถเดินเข้าไปได้เลยครับ พวกเราเดินลอดอุโมงค์ทางเข้า จนมาโผล่ที่บริเวณด้านใน บรรยากาศรอบ ๆ ถูกปกคลุมไปด้วยป่าไผ่เเสนร่มรื่น นักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตาเดินกันขวักไขว่ ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะเคยเป็นหนึ่งในสมรภูมิรบเมื่อครั้งอดีต อุโมงค์กู๋จี เป็นเครือข่ายอุโมงค์ใต้ดินที่เชื่อมถึงกันในอำเภอกู๋จีในไซ่ง่อน และเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ อุโมงค์กู๋จีเป็นที่ตั้งของการทัพหลายครั้งระหว่างสงครามเวียดนาม และเป็นฐานปฏิบัติการของเวียดกง เมื่อครั้งการรุกเทศกาลตรุษญวนในปี ค.ศ. 1968 บริเวณนี้จะเต็มไปด้วยกับดักทางการทหารจำนวนมากมายที่จัดเป็นนิทรรศการขนาดย่อม ๆ ไกด์พาพวกเรามาดู 'หลุมหลบภัย' ขนาดเล็กที่ทหารเวียดนามใช้ซ่อนตัว โดยทหารจะเข้าไปยืนชันเข่าด้านในเเละยกตะเเกรงขึ้นมาปิด จากนั้นจึงกวาดเอาใบไม้เเห้งมากลบไว้ ไกด์เปิดโอกาสให้ลูกทัวร์ได้ลองเข้าไปในหลุมหลบภัยเเละถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย ชาวต่างชาติทุกคนดูตื่นเต้นกันมาก จะเห็นได้ว่าแต่ละช่วงของอุโมงค์จะมีรูขนาดเล็กอยู่ รูเหล่านี้ถูกขุดเอาไว้เพื่อระบายอากาศเเละควันของการประกอบอาหาร ฝั่งทหารอเมริกาจะใช้สุนัขในการดมกลิ่นและโยนระเบิดเเก๊สลงไปในหลุม เมื่อทหารเวียดนามโผล่ออกมา ก็จะกลายเป็นเป้านิ่งอย่างเสียไม่ได้ วิธีป้องกันของฝั่งเวียดนามคือ การโรงผงพริกไว้ที่ปากรูเพื่อทำลายประสาทรับกลิ่นของสุนัข หรือบางครั้งก็ขโมยเป้ของทหารอเมริกาที่เสียชีวิตแล้วเอาเเชมพูหรือสบู่มาชโลมทั่วตัวเพื่อพรางกลิ่น เดินไปอีกสักพักก็จะพบกับรถถังสัญชาติอเมริกัน M41 ที่ทหารเวียดนามยึดเอาไว้ ไม่น่าเชื่อว่าจากอาวุธสังหารสุดร้ายเเรงในอดีตจะกลายมาเป็นพร็อบให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนานในวันนี้ ไกด์ยังคงพาชมเหล่ากับดักต่อไป รูปด้านบนเรียกว่า Rolling Trap หรือกับดักแบบหมุนได้ จะทำงานเมื่อศัตรูเผลอมาเหยียบ ก้านไม้ทั้งสองอันจะหมุนเเละทำให้ศัตรูร่วงลงไปด้านล่างก่อนจะถูกทิ่มเเทงด้วยตะปูตัวเขื่อง Window Trap หรือกับดักเเบบหน้าต่าง ทำงานคล้าย ๆ กับดักหมุน หากหล่นลงไปน่าจะทรมานมาก Door Trap กับดักประตู หากศัตรูถีบประตูเข้ามา กับดักอันนี้จะพุ่งเข้าเสียบ หัวใจ ท้อง เเละเข้าอย่างรุนเเรง ไฮไลท์ของที่นี่คือการเข้าไปลอดอุโมงค์กู๋จีของจริง! โดยภายในอุโมง ไกด์ให้เราเลือกว่าจะไปแบบสั้น ๆ หรือจะลอดเเบบยาว ๆ เลย หากท่านไหนที่สุขภาพเอื้ออำนวยสามารถเลือกเลี้ยวซ้ายเพื่อไปทางที่ไกลกว่า (ประมาณ 200 เมตร เเต่จะมีทางออกทุกๆ 20 เมตร) ส่วนท่านไหนที่ไม่ไหว สามารถเลือกทางที่ยาว 20 เมตรได้ ภายในอุโมงค์กู่จี เรียกได้ว่าเป็นหมู่บ้านขนาดย่อมเลยก็ว่าได้ เพราะในนั้นมีทั้งโรงพยาบาล ห้องพัก โรงครัว ห้องรับประทานอาหาร ไกด์เล่าให้ฟังว่าชาวบ้านบางคนสามารถใช้ชีวิตในอุโมงค์ได้ยาวนานเป็นเดือนๆโดยไม่ต้องขึ้นมาเหนือพื้นดินเลย ก่อนจะปิดท้ายทริปด้วยการล้อมวงทานอาหารที่ชาวบ้านกินกันในช่วงสงคราม เป็นมันสำปะหลังต้มจิ้มด้วยพริกเกลือ รสชาติอร่อยใช้ได้ครับ หลังจากนั้นไกด์ก็พาพวกเรามาส่งที่โรงเเรม ผมกับเเม่คิดว่าเราโชคดีเหลือเกินที่เกิดมาในยุคที่ไม่มีสงคราม การไปเที่ยวในวันนี้ทำให้พวกเราพึงพอใจในสิ่งที่มีมากขึ้น เเล้วพวกเราจะกลับมาเที่ยวอีกแน่นอน สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน เเล้วพบกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ :)