นี่คือ บริเวณจุดชมวิวสะพานหิน ณ เกาะลิบง ของจริงสวยกว่าในรูปมาก ๆ อากาศดี เหมาะแก่การพักผ่อนแบบชิล ๆ สวัสดีค่ะ สำหรับเรื่องนี้เป็นการเขียนจริง ๆ จัง ๆ ครั้งแรกของเรา เราเป็นนักศึกษาปี 4 เรียนเกี่ยวกับภาษา ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เราเรียนหนักมาก ๆ หนักแบบไม่มีเวลาพักผ่อน จนคิดได้ว่า “ต้องเที่ยวแล้วล่ะ ขืนอยู่แบบนี้มีหวังเครียดตายแน่ๆ” เลยวางแผนตอนช่วงสอบ เตรียมของ เตรียมชุด เตรียมกล้อง จองที่พัก ทุกอย่าง ย้ำว่า ทุกอย่าง เตรียมไว้อย่างดี แต่!!! ลืมเช็คพยากรณ์อากาศ ลืมสนิทไปเลย เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะตอนที่คิดมันเครียด ใจบอกแค่อยากเที่ยว และที่สำคัญตอนคิดอากาศมันร้อน จนในหัวมีแค่เสียงเรียกร้องว่า ร่างกายต้องการปะทะกับทะเล และเราก็จัดการทำทุกอย่างที่กล่าวมาข้างต้นอย่างรวดเร็ว .... วันเดินทาง เราออกจากบ้านตอน 9 โมงเช้า (เราเป็นคนจังหวัดตรัง) ไปแวะทานข้าวที่ร้าน Cloud 9 เป็นคาเฟ่ในตัวเมืองจังหวัดตรัง บรรยากาศดี เหมาะสำหรับนั่งชิล ๆ และมีมุมเก๋ ๆ ให้ถ่ายรูปแบบชิค ๆ ส่วนเรื่องอาหารก็มีทั้งของคาว ของหวาน เครื่องดื่ม ด้านรสชาติก็มาตรฐานคาเฟ่ทั่วไป อร่อยประมาณนึง แต่ไม่ได้รู้สึกว้าวขนาดนั้น (ราคาแอบแรงอยู่เด้อ)เราใช้เวลานั่งทานแบบชิล ๆ กว่าจะเสร็จก็ออกจากร้านประมาณเกือบ 11 โมง น้ำมะม่วงปั่น ร้าน Cloud9 เป็นคาเฟ่เหมาะสำหรับนั่งชิล ๆ วิวสวย เหมาะแก่การถ่ายรูปเล่นอย่างยิ่ง จากนั้นเราออกเดินทางต่อไปยังท่าเรือหาดยาว ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ ในขับรถจากอำเภอเมืองไปยังท่าเรือ (เราแวะชิล ๆ ระหว่างทางด้วย) เวลา 14.00 น. โดยประมาณ เราก็ได้เดินทางมาถึงท่าเรือ เสร็จปุ๊ปก็จักการซื้อตั๋ว ราคาคนละ 40 บาท หลังจากได้ตั๋วแล้ว ก็รอจนกว่าเรือจะมาเราได้ขึ้นเรือเที่ยว 14.30 น. (จริง ๆ เขาไม่ได้ ฟิคเวลาที่ชัดเจนนะ ถ้าคนเต็มก็คือออกได้เลย) ในตอนนี้จะใช้เวลา 15 นาที นั่งจากท่าเรือหาดยาวไปยังเกาะลิบง ตอนนั่งเรือ เราโคตรแฮบปี้ เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบทะเลมาก ชอบฟังเสียงคลื่น ชอบมองเส้นขอบฟ้า ชอบลมพัดเย็น ๆ ริมชายหาด และชอบล่องเรือที่สุด เวลาล่องเรือ เราชอบยื่นหน้าท้าแดดประหนึ่งว่าเป็นพรีเซนเตอร์ครีมกันแดด 555555 ชอบให้หน้าปะทะกับลมทะเล มันรู้สึกสบาย ปลอดโปร่ง เหมือนการเติมพลังชีวิต และกักเก็บความรู้สึกเหล่านี้ไว้กลับไปต่อสู้กับความวุ่นวาย และ “ความอิหยังวะ” ที่ต้องพบเจอในชีวิต เมื่อถึงเกาะลิบง ต้องนั่งซาเล้งต่อไปยังที่พัก บางโฮมสเตย์จะมีบริการรถมารับ แต่โฮมสเตย์ที่เราจองมีแค่รถมาส่งตอนกลับ เราจ่ายค่าซาเล้งคนละ 60 บาท เราพักโฮมเสตย์ ชื่อว่า ลิบงแคมป์ คืนละ 800 บาท พักได้หลังละ 2 คน ห้องพักสบาย สไตล์ชาวเล แต่มีความเป็นส่วนตัว คนไม่พลุกพล่าน บรรยากาศติดชายทะเลทุกหลัง อารมณ์ประมาณว่า เราเป็นเจ้าของเกาะงี้ 55555 และที่น่ารักอีกอย่างคือ ชื่อโฮมสตย์แต่ละหลังจะมีชื่อเรียกเฉพาะ เราได้พักหลังที่ชื่อว่า พะยูน ><&nbsp; เมื่อถึงเกาะลิบงแล้ว ก็ต้องนั่งซาเล้งไปยังที่พัก แอบกระซิบว่า ก๊ะขับซิ่งมาก (เว่อ) 555555 ปล.ซาเล้ง คนตรังเรียกว่า รถพ่วง ปล.2 ก๊ะ เป็นคำเรียกของชาวมุสลิม แปลว่า พี่สาว (จะเรียว่าก๊ะ หรือจ๊ะก็ได้ ) หลังจากเก็บข้าวของเรียบร้อยก็ออกมาเดินตามชายหาด ชิล ๆ ตาม ฟีลของคนมาพักผ่อน เพื่อฟื้นฟูสภาพอารมณ์ และจิตใจ จุดชมวิวใกล้ที่พัก คลื่นแอบแรง แต่เสียงคลื่นซัดกระทบโขดหิน คือสะใจมาก เหมาะสำหรับการไปนั่งโง่ ๆ ริมทะเล นี่นับเป็นการไปเกาะลิบงครั้งแรกของเรา แม้พื้นเพจะเป็นคนจังหวัดตรัง แต่ก็ย้ายไปเรียนต่อที่ต่างจังหวัด ไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านเกิดตัวเองสักเท่าไหร่ และครั้งนี้ก็บังเอิญประจวบเหมาะเป็นช่วงปิดเทอม และหลังจากที่ปล่อยให้ตัวเองต้องเผชิญกับการบ้าน และผจญกับรายงานกองโต รวมถึงการสอบต่าง ๆ มาตลอดทั้งภาคเรียน จึงถือโอกาสนี้ นั่งเรือลงเกาะตามความตั้งใจ แต่อย่างที่บอกตั้งแต่ต้นว่า เราเตรียมพร้อมทุกอย่าง ยกเว้น ตรวจสอบพยากรณ์อากาศ ทำให้การเที่ยวในครั้งนี้ไม่ค่อยจะราบรื่นนัก ใครจะคิดว่า การเดินทางหน้าร้อนจะเจอมรสุม นี่แหละ ชีวิตคนเรา มักเต็มไปด้วยอุปสรรคตลอดเวลา ตอนนั้นคิดในใจว่า เหมือนคนบุญมีแต่กรรมบัง อุตส่าฝ่าฟันมรสุมการบ้านมาได้ แต่ทำไมถึงต้องมาเจอมรสุมคลื่นกลางทะเลอีกระลอก //คิดเสร็จก็กลับไปทานข้าวเย็นต่อ แต่นั่งโง่ได้ไม่นาน เมฆฝนก้อนใหญ่กำลังเคลื่อนเข้ามา อวสานการชมอาทิตย์ตก จะเที่ยวทั้งที ฟ้าดินก็ไม่เป็นใจ สำหรับมื้อเย็น ทางคุณน้าเจ้าของโฮมเสตย์เขาจะถามเราว่าอยากกินอะไร เราก็มีหน้าที่แค่บอกเมนู และให้เขาไปคำนวณราคา ตอนนั้นเราสั่งเยอะ เลยจ่ายค่าอาหารแบบราคาเหมา 2000 บาท (เรื่องกินสำคัญ) สำหรับเมนูอาหารของเราตอนนั้นเท่าที่จำได้มีไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ปลาทอด แต่จำไม่ได้ว่าปลาอะไร 5555 กุ้งชุบแป้งทอด แก้งส้มปลาอะไรสักอย่าง(จำไม่ได้) ไข่เจียวปู น้ำพริก+ผักลวก น้ำอัดลม น้ำแข็ง ขนมต่าง ๆ หลังทาเสร็จก็นั่งคุยกับคุณน้าเจ้าของโฮมสเตย์ต่อ เกี่ยวกับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น เพราะมันมีพายุเข้า ทำให้ต้องเปลี่ยนแผนการเดินทาง จากเดิมที่วางแผนไว้ว่า จะพักที่เกาะลิบง 1 คืน ตื่นเช้า ก็จะไปดำน้ำดูปะการัง ก็ต้องเปลี่ยนเล็กน้อย คุณน้าเจ้าของโฮมสเตย์ใจดี ก็ช่วยภาวนาว่าขอให้มันไม่รุนแรง ทริปเราจะได้ไม่ล่ม แต่เปล่าเลยคืนนั้นฝนตกตลอดทั้งคืน ถึงจะไม่ได้ชมวิวต่อ แต่อาหารเย็นอร่อย ก็เป็นความประทับใจอย่างหนึ่ง จนตอนเช้า คุณน้าเจ้าของโฮมสเตย์ก็แจ้งข่าวร้ายกับเราว่า “คลื่นสูง น้ำทะเลขุ่น มีโหลนลูกใหญ่ (โหลนก็คือลูกคลื่นที่บอกให้รู้ว่าจะมีมรสุม) ไม่มีเรือลำไหนพานักท่องเที่ยวออกดำน้ำ และน้าก็ไม่ให้หนูไป เพราะอันตราย แต่น้าจะส่งหนูขึ้นฝั่งก่อนที่คลื่นจะสูงกว่านี้” เราก็เข้าใจดี ทำตามที่คุณน้าเจ้าของโฮมสเตย์บอก เพราะเราก็ยังรักตัวกลัวตายอยู่เหมือนกัน จากนั้น คุณน้าก็ติดต่อเรือใหญ่ เพราะเรือเล็กงดออกจากฝั่ง (เพลงพี่ตูนก็มา 555555) ตอนนั้น แอบเสียใจนิดนึง ภาพความคิดนั่งเรือชมน้ำทะเลสีครามของเราพังลงไม่เป็นท่า แต่เรื่องธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถกำหนดได้ ปล.ค่าเรือตอนนั้นโฮมสเตย์เป็นคนจ่าย คลื่นยามเช้า แรงพอตัว แรงกว่าเมื่อวาน จากที่ฟังแล้วรู้สึกชิล ๆ ก็เปลี่ยนเป็นอีกความรู้สึกนึงที่ตรงกันข้าม อวสานการล่องเรือทัวร์เกาะต่าง ๆ อวสานการดำน้ำดูปลา เป็นเศร้า เมื่อแผนพัง งอแง แต่เชื่อฟังคุณน้าเจ้าของโฮมสเตย์ 555555 หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย เราก็จำใจ และจำเป็นต้องนั่งเรือกลับฝั่ง พอล่องเรือกลับ ความรู้สึกคนละเรื่องกับตอนล่องเรือมาเลยอะ ตอนล่องมา เราเห็นท้องทะเลสีเขียวมรกต ตัดกับภาพท้องฟ้าสคราม แต่ขากลับเราเห็นทะเลสีขุ่น ออกสีโคลน ๆ กับท้องฟ้าสีครามหม่น เต็มไปด้วยเมฆฝนก้อนโต จำได้ว่าเรานั่งเรือด้วยความกระวนกระวาย และหวาดระแวงตลอดเวลา แม้คุณลุงคนขับเรือจะบอกว่า โหลนแค่นี้เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราสบายใจขึ้นเลย การนั่งเรือกลับจากเกาะก็ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที แต่มันเป็นเวลา 15 นาที ที่ยาวนานมาก ๆ ยามทะเลคลั่งแบบนี้ ทุกอย่างดูน่ากลัวไปหมด ยามธรรมชาติพิโรธ มันดูโหดกว่ามนุษย์เป็นไหน ๆ หากเคยดูมรสุมทะเลในละครหลังข่าว หรือสารคดีที่ว่าน่ากลัวแล้ว ก็ไม่เท่าการได้ประสบมันด้วยตัวเอง ตลอดระยะเวลาการเดินทางเราได้แต่เฝ้ารออย่างใจจดจ่อ และภาวนาขอให้ถึงฝั่งอย่างปลอดภัย จนในที่สุดคำภาวนาของเราก็เป็นจริง คุณลุงขับเรือพาเราถึงฝั่งอย่างปลอดภัย และเราก็โทรให้พ่อมารับที่ท่าเรือ และเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ เป็นอันจบทริปเกาะลิบงสุดปัง แต่กลับพังไม่เป็นท่าของเราโดยบริบูรณ์ ขอใช้ภาพทะเลยามเย็นปิดทริปนี้ เพื่อเก็บไว้เป็นความทรงจำเล็ก ๆ ว่า ... "แม้การเดินทางครั้งนี้จะไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่อย่างน้อยเราก็ได้ออกเดินทางแล้ว" สุดท้ายนี้ แม้ว่าทริปของเราจะพัง แต่ขอบอกว่าชาวลิบงปังมาก ประทับใจมาก ๆ สำหรับเราในตอนที่เสียใจเพราะมรสุมเข้า แต่ก็มีคนในพื้นที่คอยปลอบใจ ที่สำคัญยังได้เห็นน้ำใจของชาวเกาะลิบง ทั้งคุณน้าเจ้าของโฮมเสตย์ที่น่ารักมาก ๆ ก๊ะและบังที่คอยขับรถพาเที่ยวชมทั่วเกาะ และสุดท้ายคือน้ำใจของคุณลุงคนขับเรือ อันที่จริง ถ้าคุณลุงบอกแค่ว่าไม่สามารถนำเรือออกได้ แล้วบอกให้เราอยู่ต่อ เราก็จะอยู่ เพราะเรากลัวตาย 55555 และเขาก็จะได้เงินเพิ่มในส่วนของค่าที่พัก และค่าอาหาร แต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ เพราะเขาคิดถึงใจของนักท่องเที่ยวก่อนเสมอ... ขอทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าอยากเที่ยวทะเลแบบปัง ๆ ขอแนะนำเกาะลิบง แต่อย่าลืมเช็คพยากรณ์อากาศนะจ๊ะ ^^