" ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย " 1 ใน จุดหมายปลายทางที่เหล่านักเดินทางต่างอยากจะขึ้นเหยียบให้ได้สักครั้งในชีวิตนี้ ผมเองก็เป็นหนึ่งในผู้คนที่คิดแบบนั้น อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่า มันเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงว่าเป็นความที่สุดในประเทศของเรา ซึ่งคงไม่บ่อยที่จะมีโอกาสได้ไปยังสถานที่ที่มีคำว่า " ที่สุด " ต่อท้ายได้แบบนี้ " ไปอินทนนท์กันไหม ? " ผมพูดขึ้นมาในช่วงบ่ายของวันหนึ่ง เป็นการชวนน้องที่ทำงานด้วยกันว่าเราอยากจะไปที่นี่ ปฏิกิริยาที่น้องส่งกลับมาก็ไม่ได้เกินความคาดหมายแต่อย่างใด เพราะเวลาที่ผมเอ่ยปากชวนนั้น ถ้าดูตามนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังห้องแล้ว คือ 14.40 น. " ไปเวลานี้ ? " ผู้ถูกชวนเอ่ยถาม ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ " จะไปยังไง ? " ครั้งนี้ผมหันหน้ามองออกไปที่หน้าบ้าน ส่งสายตาไปยังรถมอเตอร์ไซด์คันสีแดง พาหนะคู่ใจที่จอดนิ่งอยู่ตรงนั้น " พี่คำนวนจากในแผนที่แล้ว เราจะไปถึงตอนอาทิตย์ตกดินพอดี ถ้าขับแบบไม่หยุดเลย รับรองว่าคุ้มแน่นอน " ผมเอ่ยอย่างหนักแน่น เพื่อที่จะโน้มน้าวใจอีกฝ่ายให้ได้ " ไปก็ไป " สุดท้ายเราสองคนจึงตกลงที่จะออกเดินทางทันที โดยที่ไม่ต้องพกของอะไรไปเยอะ แค่กล้องกับของกินก็พอ แต่ในใจก็ยังแอบหวั่น ๆ ว่าเราจะไปได้ทันหรือเปล่า เราจะพลาดอาทิตย์ตกไหม ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นหมายความว่า การเดินทางไปกลับ 180 กิโลเมตรของเราจะสูญเปล่าทันที ผมสลัดความคิดกังวลใจทิ้ง พร้อมกับพิมพ์ที่หมายลงไปในแอพพลิเคชั่นนำทางยอดนิยม " มุ่งหน้าตรงไป " เสียงจากแอพ ดังขึ้น เริ่มออกเดินทาง จากระดับความสูง 290.29 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง เราเลือกใช้เส้นทางที่ใกล้ที่สุด ซึ่งจริง ๆ แล้วการเดินทางไปดอยอินทนนท์นั้นสามารถที่จะไปได้หลากหลายทางมาก ๆ เราเลือกใช้เส้นทางหมายเลข 106 ตัดเข้า ถนนชนบท 1156 ที่บ้านสบทา สองข้างทางเป็นหมู่บ้านเสียส่วนมาก ทำให้การขับขี่ไม่ได้อันตรายมากเพราะเราไม่สามารถใช้ความเร็วได้มากนัก แต่สภาพถนนจะเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเข้าเขตจังหวัดเชียงใหม่ ทางอำเภอจอมทอง สองข้างทางจะค่อย ๆ มีบ้านเรือนน้อยลงเรื่อย ๆ ตามระยะทางที่เราเข้าใกล้เป้าหมาย ช่วงที่ผมไปนั้นเป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่กำลังดี ถ้าอยากจะเดินทางไปที่นี่โดยที่ไม่อยากเบียดเสียด หรือ หงุดหงิดกับรถติดมากนัก เพราะยังไม่ถึงช่วงพีคของการท่องเที่ยว แต่อากาศในช่วงนี้ก็เริ่มเย็นพอสมควรแล้ว พวกเราขับรถต่อไปเรื่อย ๆ จนอากาศเริ่มที่จะเปลี่ยนไป วิวทิวทัศน์สองข้างทางเองก็เช่นกัน ทำให้เรารู้ว่า เราเข้าใกล้เป้าหมายแล้ว ผมพลิกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นมาดู 17.00 น เราเหลือเวลาอีกเพียงไม่นานก่อนแสงสุดท้ายจะพ้นขอบฟ้าไป ผมบอกให้น้องที่เป็นคนขับในตอนนั้น บิดเต็มที่เท่าที่จะทำได้ เพราะไม่อยากจะมาเสียเที่ยวในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าถ้าพลาดไปแล้วจะมีโอกาสได้กลับมาอีกไหม 17.05 น 30 กิโลเมตรก่อนถึง ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย 500 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ค่าเข้าอุทยานจะอยู่ที่ - ชาวไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท – ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท – รถยนต์ คันละ 30 บาท – รถจักรยานยนต์ คันละ 20 บาท ซึ่งนับว่าไม่แพงเลย อุณหภูมิตอนที่เราเข้ามาในเขตของอุทยาน อยู่ที่ 16 องศา ซึ่งนับว่ากำลังดีเลยในช่วงเวลานั้น บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ที่เขียวชะอุ่ม มีรถสวนไปมาค่อนข้างน้อย ขับได้อย่างสบาย ๆ เมื่อถึงจุดตรวจที่ 1 หลังจากนั้นจะเป็นทางในลักษณะที่เป็นทางชัน แบบขาขึ้นรวดเดียวเลย ซึ่งใครที่อยากจะมาผมแนะนำว่าใช้รถที่มีกำลังหน่อยก็จะเป็นการดีมากเลยครับ เคยสังเกตไหมครับ ว่าเวลาที่เราขับรถไปเที่ยว หรือ ไปในสถานที่ที่ไกล ๆ เมื่อสองข้างทางเริ่มเปลี่ยนจากตึกรามบ้านช่อง กลายเป็นต้นไม้ที่เขียวขจี เราจะรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูกเลย นั่นคงเป็นความทรงพลังของธรรมชาติ ที่เรารับรู้ได้แม้เราจะมองไม่เห็นตัวตนของพลังงานนั้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารู้สึกอยากจะพักผ่อน คนก็จะคิดถึงธรรมชาติอยู่เสมอ ไม่ว่าจะภูเขา แม่น้ำ ทะเล ลำธาร สัตว์ป่า อาจจะเป็นเพราะว่าจริง ๆ แล้วเราเองเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติอยู่แล้วก็ได้ ลึก ๆ ในใจจึงมีเสียงร้องที่อยากจะกลับไปยังที่ที่เราจากมากอยู่เสมอ นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึกตอนนี้ในช่วงเวลาที่สองข้างทางมีแต่สีเขียวสลับน้ำตาลของต้นไม้หลากหลายพันธุ์ ผมสูดหายใจเข้าไปจนเต็มปอด สายตามองไปรอบ ๆ เพื่อซึมซับภาพเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด " เหมือนได้กลับบ้านเลย " น้องของผมเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ ผมเห็นด้วยอย่างที่สุดเลย 18.00 น จากระดับความสูง 2565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล " ถึงแล้ว " หลังจากเดินทางมาเป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมง นี่คือคำที่ผมอยากจะได้ยินที่สุดเรามาถึง ดอยอินทนนท์เป็นที่เรียบร้อย ดอยอินทนนท์นั้น มีเนื้อที่ประมาณ 482.4 ตารางกิโลเมตร หรือ 301,500 ไร่ ประกอบไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อนกันไปมา เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย ในตลอดระยะทางขึ้นมาที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ให้แวะจอดพัก แวะชมได้ตลอดเส้นทางถ้ามีเวลา สถานที่แรกที่เราเลือกที่จะจอดก็คือ พระมหาธาตุเจดีย์ นภเมทนีดล – นภพลภูมิสิริ เป็นพระธาตุที่ทางกองทัพอากาศร่วมกับพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมใจสร้างถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา เมื่อปีพุทธศักราช 2530 และเทิดพระเกียรติแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในมหามงคลสมัยที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2535 โดยที่นี่จะเป็นจุดที่เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้แบบ 360 องศา เป็นสถานที่ที่ควรค่าแก่การที่จะลงมาถ่ายรูปเก็บบบรรยากาศมากเลยครับ ค่าเข้าชมจะอยู่ที่ คนไทยผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 บาท /ชาวต่างชาติผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท ครับ เช็คเวลาเปิดปิดให้ดีด้วยนะครับก่อนที่จะมาถึง ไม่งั้นอาจจะมาเสียเที่ยวได้ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือเส้นขอบฟ้าที่ ดวงอาทิตย์กำลังค่อย ๆ ลดต่ำลงไป ภาพเหล่านี้ถูกถ่ายตอนเวลา 18.00 น ซึ่งถ้าอยู่ข้างล่างในเวลาปกติ ฟ้าก็คงจะเริ่มมืดแล้ว แต่เนื่องจากเราอยู่ในระดับที่สูงเหนือหมู่เมฆขึ้นมา เราจึงยังคงมองเห็นแสงสว่างได้ชัดเจนอย่างที่เห็นครับ อุณหภูมิปัจจุบันที่ผมยืนอยู่ตอนนั้น คือ 9 องศา หนาวกำลังดีเลยครับ และสุดท้ายภาพที่ขาดไม่ได้สำหรับคนที่มาถึงดอยอินทนนท์แล้วก็คือ ภาพที่ถ่ายคู่กับป้ายสูงสุดแดนสยามอันนี้นั่นเอง หลังจากได้เวลาอันสมควร แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเราทั้งสองก็ค่อย ๆ ขับรถลงมาจากยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยแห่งนี้ ท่ามกลางแสงที่ค่อย ๆ จางลงไปเรื่อย ๆ และ อุณหภูมิที่เย็นลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ผมพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่า ที่นี่สมกับคำว่า " ที่สุด " ที่พ่วงท้ายจริง ๆ ทั้งบรรยากาศ ทั้งสภาพแวดล้อม และการเดินทาง ระยะเวลา 3 ชั่วโมงที่ขับมา รู้สึกคุ้มค่ามาก ๆ ที่เลือกจะมาที่นี่ มันเหมือนการทะยานอยากของเราสำเร็จไปอีก 1 สิ่งในชีวิตของคนที่รักในการเดินทาง ดอยอินทนนท์อาจจะไม่ใช่ยอดเขาที่เดินทางยากที่สุด อาจจะบอกไม่ได้ว่าสวยที่สุดเท่าที่เคยไปมาในชีวิต แต่ก็คุ้มค่ามากพอที่จะต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิตแน่นอนครับ ผมกลับลงมาด้วยความคิดถึงบทเรียนที่ได้รับจากการเดินทางครั้งนี้ คือ การที่เราตั้งเป้าหมายในชีวิต จริง ๆ ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมาก ๆ เสมอไป แค่มันคือที่สุด ของใจเราก็เพียงพอแล้ว อาจจะไม่จำเป็นจะต้องสำเร็จระดับโลก เป็นเศรษฐี เป็นคนมีชื่อเสียงคับประเทศ แต่แค่สำเร็จในจุดเล็ก ๆ ที่เราตั้งเป้าไว้ แค่นั้นก็สุขใจแล้ว แสงสุดท้ายจากยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก กระซิบบอกผมว่า วันนี้กำลังจะหมดไป และ แบบที่เรารู้และเคยชินมาตั้งแต่เกิดว่า พรุ่งนี้มันจะกลับมาทักทายเราอีกครั้ง ให้เราตั้งเป้าหมายใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ ในชีวิต อาจจะไม่ต้องยิ่งใหญ่ แค่สุขใจก็เพียงพอแล้ว สรุปทั้งหมดเราทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านเวลาประมาณ 21.00 น เพราะตอนกลับเราจอดแวะหาอะไรอุ่น ๆ ตลอดทางเพื่อสู้กับอากาศที่หนาวเหน็บ รวมเวลาทั้งสิ้นอาจจะเป็นตัวเลขที่มากอยู่สำหรับใครบางคน แต่ถ้าได้ไปยืนอยู่ตรงจุดนั้น ผมสัญญาเลยว่าคุณจะไม่รู้สึกเสียดายเวลาที่ใช้ไปเลย 21.00 น. คำร่ำลาจากความสูง 290.29 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ระดับเดียวกันคนอีกนับล้านในโลกนี้ ภาพโดยผู้เขียน