เที่ยวเกียวโต ศาลเจ้าศีรษะมาร คุบิสึกะ ไดเมียวจิน ที่สถิตจอมปีศาจในตำนาน

นอกเหนือจากศาลเจ้าสวยๆ มีคนไปเที่ยวอย่างอุ่นหนาฝาคั่งที่มีอยู่มากมายในเกียวโตแล้ว ยังมีศาลเจ้าโบราณเล็กๆ ที่น้อยคนจะอยากไปเที่ยวอยู่เหมือนกันครับ ครั้งนี้จะพาไปรู้จักกับศาลเจ้าศีรษะมาร คุบิสึกะ ไดเมียวจิน (Kubitsuka Daimyōjin) อันเป็นสถานที่ฝังส่วนหัวของยักษ์ นามว่า ชูเทนโดจิ (Shuten-dōji) ที่แม้จะมีบรรยากาศชวนขนลุกไปหน่อย แต่มีที่มาน่าสนใจมากครับ
By Yukinobu Kurata (倉田幸暢) - Own work, CC0
ตำนานจอมปีศาจ ชูเทนโดจิ Shuten-dōji
ก่อนจะไปถึงเรื่องศาลเจ้า จะไม่เล่าถึงตัวละครหลักก่อนก็คงไม่ได้ นั่นคือยักษ์ ชูเทนโดจิ ซึ่งเป็นหนึ่งในปีศาจที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเรื่องเล่าโบราณของญี่ปุ่น ซึ่งจะปรากฏร่างจริงในยามหลับเท่านั้น มีความสูง 50 ฟุต (ประมาณ 15 เมตร) มี 5 เขา มีตา 15 ตา ลำตัวสีแดง ขาข้างหนึ่งสีขาว ขาข้างหนึ่งสีดำ แขนสีเหลือง และสีฟ้า อาศัยอยู่บนภูเขาโอเอะ (Mt. Ōe) ซึ่งมักก่อเหตุฆ่าคน และลักพาตัวอยู่เสมอ โดยเน้นเหยื่อผู้หญิงมากกว่า เพื่อจะนำไปใช้งาน ก่อนจะฆ่ากินเนื้อ และดื่มเลือด เริ่มออกอาละวาดอย่างหนักช่วงยุคเฮอัน
กระทั่งในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดิอิชิโจ (ปีค.ศ.986-1011) เริ่มมีจำนวนคนหายสาบสูญจากเมืองเกียวโตเป็นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหญิงสาวทั้งสิ้น จอมขมังเวทย์ประจำราชสำนัก หรือ องเมียวจิ ซึ่งในสมัยนั้นตรงกับช่วงของ อาเบะ โนะ เซเมย์ (อันนี้ใครชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นน่าจะรู้จักดี) จึงลงความเห็นว่าน่าจะเป็นฝีมือของชูเทนโดจินี่เอง จึงได้มอบหมายหน้าที่ในการปราบปีศาจให้กับ มินาโมโตะ โนะ โยริมิตสึ (Minamoto no Yorimitsu) และฟูจิวาระ โนะ ยาซุมาสะ (Fujiwara no Yasumasa) ซึ่งเป็นมือปราบปีศาจในยุคเฮอันเป็นผู้รับเคสไป พร้อมกับคณะผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง ออกเดินทางจากเกียวโตในปีค.ศ. 995
ซึ่งคณะเดินทางเองก็ได้รับความช่วยเหลือจากเทพเจ้าด้วย โดยได้รับคำแนะนำว่าอย่าสวมชุดนักรบไป ให้ปลอมตัวเป็นนักบวชเสีย พร้อมกับมอบสาเกไว้ให้หนึ่งขวด เมื่อเดินทางไปถึงที่อยู่ของยักษ์แล้ว โยริมิตสึ ก็เกลี้ยกล่อมให้ชูเทนโดจิรับพวกของตนเอาไว้ค้างแรมด้วย โดยเสนอตัวเป็นเพื่อนร่วมวงดื่มเหล้าให้เจ้ายักษ์ โชคดีที่ชูเทนโดจินั้นชอบบรรยากาศในการร่ำสุราเอามากๆ ซะด้วย จึงตกปากรับคำไปโดยง่าย พอถึงตอนตั้งวง เจ้ายักษ์ก็รับเอาเหล้าของเทพไปดื่ม โดยไม่ได้เอะใจว่าเหล้านั้นมีฤทธิ์ทำให้มันไม่สามารถขยับตัวได้ เมื่อสบโอกาส คณะจึงช่วยกันจับตัวชูเทนโดจิไว้ และตัดหัวจนขาดสะบั้น
แต่ถึงจะโดนตัดหัว เจ้ายักษ์ก็ยังไม่สิ้นกำลังง่ายๆ มันรีบพุ่งหัวอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะงับโยริมิตสึให้ได้ แต่ปรากฎว่างับไม่เข้าเพราะโยริมิตสึนั้นสวมหมวกเกราะป้องกันเอาไว้ถึง 2 ชั้น (!!) จากนั้นคณะจึงเดินทางกลับเกียวโต พร้อมกับส่วนหัวของยักษ์นั่นเอง
ศาลคุบิสึกะ ไดเมียวจิน แห่งเกียวโต
ระหว่างที่เดินทางกลับจนใกล้จะถึงเมืองเกียวโตนั้น ปรากฎว่ามีพระมาทักว่าอย่าเอาหัวของปีศาจเข้าไปในตัวเมือง เพราะนับว่าเป็นของอัปมงคล เป็นกาลกินีบ้านเมือง จึงทำให้ต้องฝังเอาไว้ ณ เนินเขาแถวนั้น พร้อมกับตั้งศาลเจ้ากำกับไว้ นั่นคือ ศาลคุบิสึกะ ไดเมียวจิน แห่งนี้นี่เอง
บางตำนานก็เล่าไว้ว่า ระหว่างที่กำลังถูกฝังศีรษะนั้น ยักษ์เกิดความรู้สึกสำนึกผิดในบาปของตัวเองขึ้นมา เลยตั้งความปรารถนาไว้ว่าจะคอยช่วยเหลือผู้ที่มีความเจ็บป่วย จากนั้นจึงเกิดความเชื่อว่า ถ้าใครป่วยก็ให้มาขอพรที่ศาลนี้ จะช่วยรักษาโรคที่เจ็บป่วยตั้งแต่หัวขึ้นไป ย้ำ! เฉพาะโรคที่มีผลตั้งแต่ส่วนหัวขึ้นไปเท่านั้นนะ ซึ่งว่ากันว่ารักษาความโง่ได้ด้วย แต่นั้นมา ชูเทนโดจิ เลยได้รับการนับถือจากชาวบ้าน ให้เป็นเทพแห่งปัญญาไปในที่สุด
ปัจจุบัน ศาลคุบิสึกะ ไดเมียวจิน ก็ยังคงตั้งอยู่ ณ จุดเดิมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ด้วยความที่สถานที่ตั้งศาลนั้นเป็นป่ารกทึบ แถมยังเดินทางเข้าไปยากด้วย เลยทำให้ไม่ค่อยมีคนเดินทางไปถึงนัก ศาลจึงดูเก่าแก่ และมีบรรยากาศของความขลังสูงมาก มากซะจนใครที่คุ้นเคยกับศาลเจ้าสวยๆ ที่มีอยู่ทั่วไปในญี่ปุ่นนั้นจะต้องตกใจกันเลยทีเดียว แถมพอบรรยากาศวังเวงสุดๆ ขนาดตอนกลางวันแสกๆ ยังน่าขนลุกขนาดนี้ ที่นี่เลยกลายเป็นสถานที่ที่คนนิยมมาล่าท้าผีกันไปโดยปริยาย
===============