ช่วงสิ้นปีก่อนที่ผ่านมาในมุมเล็กมุมหนึ่ง ณ เมืองสวยๆ ที่โอบล้อมด้วยขุนเขาที่สวยงามจนได้ชื่อว่า “แดนสวรรค์ตะวันตก” ช่างอบอวลไปด้วยความสุข เราแวะทานข้าวเช้าที่ร้านข้าวมันไก่ แชมป์88 ก่อนที่จะพากันเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังของธรรมชาติ "สวนผึ้ง" สถานที่ซึ่งเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งทิวเขาที่ทอดยาวจนสุดสายตาและความเขียวขจีของต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ จนได้รับสมญานาม "สวิสเซอร์แลนด์ เมืองไทย" การเดินทางใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า เราก็เดินทางมาถึง "The Scenery Vintage Farm" ซึ่งตั้งอยู่บนทุ่งหญ้าบนเนินเขาเป็นรีสอร์ทเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่อย่างสงบในดินแดนแห่งภูเขา ทุ่งหญ้า ฝูงแกะและลำธารใส เราเสียค่าเข้าชมคนละ 40 บาทและนำบัตรไปแลกหญ้าให้แกะได้คนละ 1กำ ที่นี่มีลักษณะเหมือนหมู่บ้านชาวไร่สไตล์อังกฤษที่ปกคลุมไปด้วยพฤกษานานาพันธุ์ที่ออกดอกสวยงามหลากสี ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัด เย็นสบายในยามสายของวัน บ้านพักแต่ละหลังในรีสอร์ทถูกสร้างในสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนที่แทรกอยู่ในแมกไม้ใหญ่สีเขียวขจีชวนน่าพักผ่อน หลังจากที่ให้หญ้าแกะแล้ว เราก็มานั่งพักและซื้อไอศกรีมทานกัน หลังจากนั้นเราก็เดินถ่ายรูปอีกนิดหน่อยและเดินทางไปยังตลาดน้ำ Venetoที่เที่ยวแห่งใหม่ล่าสุดของสวนผึ้ง ที่มีการจำลองสถาปัตยกรรมจากเกาะ Sentoriniประเทศกรีซอันแสนโรแมนติก จนได้รับสมญานามว่า ”Queen of Mediterranean sea”หรือ ราชินีแห่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผสมผสานกับการจำลองบรรยากาศของ Venice เมืองที่ได้รับสมญานามว่า Queen of Adriatic sea หรือ ราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก และได้ชื่อว่าเป็น เมืองแห่งสายน้ำ ( city of Water)เนื่องจากมีลำคลองสัญจรแทนท้องถนนมากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบสาย รับกับสถาปัตยกรรมโทนสีขาวตัดกับสีน้ำเงิน ที่ทอดตัวยาวกับทะเลสาบขนาดกว่า 20 ไร่ ท่ามกลางภูเขาสีเขียว ยิ่งขับให้ตัวสถาปัตยกรรมมีความโดดเด่นและสวยงามยากที่จะหาที่ติ เราเสียค่าเข้าชมคนละ 30 บาท จากนั้นเราก็เดินไปตามทางเดินด้านบน ซึ่งตลอดทางที่เดินนั้นก็มีร้านขายของต่างๆ มากมาย เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านไอศกรีม ร้านขายของที่ระลึก และสิ่งที่สังเกตได้จากร้านขายของแต่ละร้าน พบว่าแต่ละร้านจะมีดอกไม้ปลอมหลากสีแขวนไว้และมีเก้าอี้สีน้ำเงินตัวยาวไว้ให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพักผ่อนจากความเหนื่อยล้าอีกด้วยเดินไปจนสุดทาง เราก็เดินลงบรรไดมายังด้านล่างที่เป็นลานสวนเขียวชอุ่ม มีทางเดินที่โรยด้วยหินกรวดทราย สายลมแผ่วๆพัดมากระทบผิวกายพร้อมกับเสียงเพลงหวานๆที่ให้ความรู้สึกรื่นรมย์ อ่อนหวานและโรแมนติกเหมือนในภาพยนตร์รัก ห่างออกไปคือซุ้มสีชมพูหวาน ตั้งอยู่ระหว่างทางเดินที่จะไปริมทะเลสาบ มีหมู่ม้านั่งที่กระจายไปตามทางเดินที่ตัดผ่าน เราเดินไปเรื่อยๆจนถึงริมทะเลสาบ สายน้ำใสไหวเป็นระลอกล้อกับสายลมเกิดเป็นประกายวิบวับ ไม่ไกลเท่าใดนักคือฟากหนึ่งของทะเลสาบ เป็นผืนดินที่ปกคลุมด้วยหญ้าสีเขียวและพรรณไม้ชนิดต่างๆ มีบ้านพักตั้งอยู่หลายหลัง ซึ่งถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขาสีเขียว เหนือขึ้นไปเป็นแผ่นฟ้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเมฆสีขาวเกือบทั้งหมด เวลานี้ก็เที่ยงกว่าแล้วเราจึงเดินทางออกจาก ตลาดน้ำ Venetoโดยจุดหมายปลายทางคราวนี้คือ สวนผึ้ง รีสอร์ท เราเสียค่าเข้าคนละ 40 บาท สวนผึ้งรีสอร์ทเป็นรีสอร์ทที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ เมื่อเราเดินเข้ามาด้านใน สิ่งแรกที่กระทบความรู้สึกของเราคือ ความเย็นตามธรรมชาติแท้ๆมันช่างเย็นซึ้งจนบอกไม่ถูก บริเวณรอบๆมี ต้นไม้ ภูเขา ลำธารและบ้านพักที่รายล้อมไปด้วยพฤกษานานาพันธุ์ ท่ามกลางสายลมหนาวที่พัดมาในยามบ่ายของวัน บ้านมนุษย์หินฟลินท์สโตนดูโดดเด่นมาแต่ไกล ที่เรียกว่าบ้านมนุษย์หินฟลินท์สโตนนั้นเพราะว่าเป็นบ้านพักแบบยุคหินจากการ์ตูนเรื่องมนุษย์หินฟลินท์สโตน ที่สนามหญ้าฝั่งตรงข้ามกับที่เรายืนอยู่ คือ บ้านเบ็ตตี้ สร้างเป็นรูปตัวการ์ตูน เบ็ตตี้ รับเบิล คู่ชีวิตของบาร์นี่ ถัดมาเป็นบ้านวิลม่า ฟลิ้นท์สโตน คู่ชีวิตของเฟรด ฟลิ้นท์สโตน ห่างออกไปจากที่ที่เรายืนอยู่ไม่ไกลนักคือ บ้านบาร์นี่ รับเบิล เพื่อนรักของเฟรด ฟลิ้นท์สโตน ซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านเฟรด เฟรเดอริค ฟลิ้นท์สโตน ตัวละครเอกในการ์ตูนเรื่องมนุษย์หินฟลิ้นท์สโตน ที่ตอนหลังกลายมาเป็นหนังที่ใช้คนแสดง ข้างบ้านเฟรดเป็นบ้านพักหลังใหญ่ คือบ้านที่ชื่อดีโน่ ชื่อของสัตว์เลี้ยงประจำบ้านฟลิ้นท์สโตน ข้างบ้านดีโน่มีศาลาแบบมนุษย์หินอยู่ริมลำธาร มองเลยไปมีบ้านพักที่ใช้ชื่อตัวการ์ตูนเรื่องก้านกล้วยด้วย มีทั้งบ้านก้านกล้วย บ้านชบาแก้ว ช้างสาวสีชมพูคู่รักของก้านกล้วย บ้านต้นอ้อ บ้านกอแก้ว บ้านจิ๊ดลิด นกพิราบสื่อสารจากเรื่องก้านกล้วย นอกจากนี้ยังมีบ้านสโตนซึ่งมีอยู่ 3 หลัง บ้านโดม บ้านซิมนี่ ปล่องควัน บ้านกัปตันเคปแมน เดินมาอีกไม่ไกลนักคือห้องน้ำที่ทำเป็นรูปขอนไม้ขนาดใหญ่ เราเดินต่อไปเรื่อยๆก็เจอสายน้ำเล็กๆที่เปล่งประกายวาววับเล่นกับแสงแดดขวางพาดอยู่ก่อนถึงพื้นหญ้าสีเขียวพร้อมด้วยสะพานโค้งที่พาดข้ามสายน้ำเล็กๆไปสู่บ้านพักที่อยู่ในสวนสวยเป็นบ้านไม้สัก และบ้านไม้โอ๊คหลังเล็กๆจากนั้นเราก็เดินย้อนกลับมาทางเก่า และออกเดินทางไปแวะทานอาหารกลางวันร้านหนึ่งชื่อว่า ร้านครกใหญ่ ซึ่งมีลูกค้าเยอะมาก หลังจากที่ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางไปยังบ้านหอมเทียน ที่นี่เราเสียค่าเข้าชมคนละ 50 บาท ได้บัตรส่วนลด 10 บาท คนละ 1 ใบ เราสามารถนำตั๋วค่าเข้าชมไปแลกเทียนได้ เราเดินตามบันไดที่ยอดยาวขึ้นสู่ด้านบน แล้วพบว่านอกจากบ้านหอมเทียนจะเปิดขายเทียนรูปทรงต่างๆให้กับนักท่องเที่ยวแล้ว ยังมีร้านขายอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขายของแนว retro ประมาณว่าเป็นของใหม่แต่ทำให้ดูเก่า ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นพวกนาฬิกา กล่องใส่ของ เดินต่อไปก็จะเป็นร้านที่เปิดสอนทำเขียนและสิ้นสุดทางเดินที่ร้านกาแฟโบราณ ภายในร้านตกแต่งอย่างมีศิลปะ บรรยากาศโปร่งโล่งสบาย เก้าอี้ถูกวางไว้ให้เรานั่งตามมุมต่างๆ ระเบียงไม้ขนาดกะทัดรัดถูกสร้างยื่นออกไปภายนอก มีป้ายเล็กๆบอกเราว่าอีก 21 กิโลเมตรก็จะถึงพม่า เมื่อเราเดินกันจนทั่วแล้ว เราก็เดินกับมาขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน ทิ้งภาพเทียนรูปร่างต่างๆ เอาไว้เบื้องหลัง ดวงตะวันบอกลาผืนฟ้าไปนานแล้ว มวลอากาศหนาวเย็นเริ่มแผ่มาปกคลุม พระจันทร์ดวงโตลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า สาดแสงให้คืนที่มืดมิดกับสุกสว่าง เสียงนาฬิกาตีบอกเวลา 20.00 นาฬิกา ราวกับย้ำว่าการเดินทางในวันนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านนะคะ