เมือง Karlovy Vary เป็นเมืองเล็ก ๆ ในประเทศสาธารณรัฐเช็ค มีชื่อเสียงด้านบ่อน้ำแร่และสปา ตั้งอยู่ทางทอศตะวันตกของกรุงปาร์กเมืองหลวงของประเทศไปราว ๆ ประมาณ 130 กิโลเมตร เมืองนี้มีประชากรประมาณ 50,000 คน วันนี้เราจะพาออกเดินทางจากชายแดนประเทศเยอรมนีโดยการเดินเท้าและนั่งรถไฟเข้าไป ใช้เวลารวมประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที เอาล่ะ เรามาเริ่มต้นกันจากสถานีรถไฟเมือง Schwarzenberg นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Johanngeorgenstadt จริง ๆ แล้วจากสถานีนี้สามารถนั่งรถไฟของประเทศ Czech Republic เข้าไปต่อได้เลย แต่ราคาค่อนข้างสูง เราเลยตัดสินใจเดินเท้าข้ามลำธารและป่าไปอีกนิดหน่อยประมาณ 500 เมตรเท่านั้นเพื่อไปยังเมือง Potůčky ที่เป็นเมืองชายแดนของประเทศ Czech Republic พอเดินข้ามลำธารมาจะเจอวงเวียนและร้านค้ามากมาย ขายของที่ระลึกและของก็อปแบรนด์เนม ผู้ขายส่วนใหญ่เป็นคนเวียดนาม พอเห็นหน้าเราเอเชียหน่อยก็จะเรียกให้ซื้อเป็นภาษาเวียดนาม ถามว่าเราเข้าใจมั้ย ไม่เลยค่ะ ฮ่า ๆ พวกเราเดินลัดตลาดไปทะลุอีกฟากหนึ่งแล้วเดินลัดลำธารไปจะเห็นสถานีรถไฟไป Karlovy Vary มันคือรถไฟขบวนเดียวกันที่เราสามารถขึ้นจากฝั่งเยอรมันได้ แต่ราคาเหลือแค่ประมาณ 2 ยูโรเท่านั้น หรือเท่ากับ 75 บาท ถ้าขึ้นจากฝั่งเยอรมนีจะอยู่ที่ประมาณ 15 ยูโร รถไฟขบวนนี้ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาทีจะถึงเมือง Karlovy Vary ในรถไฟมี wifi ให้เล่นแต่สัญญาณไม่ได้ดีมาก พอเล่นได้ มีห้องน้ำในรถไฟ ถือว่าสะดวกมาก ๆ เลยทีเดียว พอรถไฟเทียบท่าที่สถานี Karlovy Vary แล้วพวกเราได้เดินไปที่โรงแรมที่อยู่ใจกลางแหล่งท่องเที่ยวและไม่ไกลมากนัก ตึกรามบ้านช่องในเมืองนี้ถือว่ามีระเบียบสวยงามมาก เป็นสถาปัตยกรรมแบบโรมันโบราณ มีการคุมโทนสีให้เป็นสีครีมและเหลืองนวลๆดูแล้วสบายตา บรรยากาศในเมืองก็น่ารัก ผู้คนเป็นมิตรยิ้มแย้มกว่าฝั่งเยอรมัน อาหารอร่อยราคาไม่แรง และที่สำคัญเบียร์และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาถูกมาก ๆ เช่น เบียร์ Hoegarrden 500 ml. ราคาที่ไทยประมาณ 300 บาท แต่ที่ Karlovy Vary ราคาแค่ 1.45 ยูโร หรือประมาณ 50 บาทเท่านั้นเอง โอ้โห คอเบียร์สายดริ้งค์ไม่ควรพลาดอย่างแรง เราได้เดินลัดเลาะไปตามถนนในเมือง มีแม่น้ำใสแจ๋วไหลผ่าน ใสจนเห็นตัวปลาเทราท์ แต่ที่นี่ห้ามจับปลา เลยได้แต่ยืนมอง ถ้าเอามากินได้คงอร่อยน่าดู ส่วนสองฝั่งของลำธารมีร้านขายของที่ระลึกสลับกับขายของแบรนด์เนมและน้ำพุร้อนสลับกันไป เป็นการผสมผสานที่ลงตัวของเมืองเล็ก ๆ ที่ลานกิจกรรมก็มีคนออกมาทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นกลุ่มมากมายเช่น เต้นรำ ร้องเพลง พาน้องหมามาเดินเล่น และอื่นๆอีกมากมาย ถ้ามองขึ้นไปจากลานกิจกรรมจะเห็นยอดเขาที่สามารถนั่งรถรางไฟฟ้าขึ้นไปชมวิวสวย ๆ ช่วงที่วิวสวยที่สุดคงเป็นช่วงพระอาทิตย์ตก ลับขอบฟ้าไปในเมืองเล็ก ๆ ใจกลางหุบเขาแห่งนี้ ทำให้เห็นบรรยากาศทั้งหมดของเมืองซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เขียนประทับใจมากที่สุด การเดินทางไปที่ไหนนั้นจุดมุ่งหมายไม่สำคัญเท่ากับว่าเราได้เจอและเรียนรู้อะไรบ้างระหว่างทาง และสิ่งเหล่านั้นมันได้ช่วยขัดเกลาให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น เข้าใจคนอื่นมากขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น มีความอดทนมากขึ้น และสามารถอยู่กับคนอื่นรอบตัวเราได้อย่างมีความสุข เมืองนี้ทั้งเมืองใช้เวลาเดินให้ทั่วไม่ถึงวัน ส่วนใหญ่คนจะมาแช่น้ำแร่และทำสปากัน เดี๋ยวรอบหน้าจะแวะมารีวิวสปาให้ชมกัน ฝากติดตามผลงานผู้เขียนด้วยนะคะ รูปภาพทั้งหมดโดยนักเขียน PPtrotter