เรื่องตื่นเต้นระหว่างทางมีให้ลุ้นตลอดทางตั้งแต่เริ่มเดินทาง และขากลับ ใครที่สนใจสถานที่ท่องเที่ยว ไม่ไกลจาก กรุงเทพ เดินทางไม่นาน สถานที่เที่ยวเยอะ บรรยากาศดี ค่าครองชีพไม่แพง ต้องที่นี่เลย "จังหวัดกาญจนบุรี " ก่อนการเดินทางได้มีการเเพลนนัดเพื่อนเพื่อจะไปด้วยกันทั้งหมด 4 คน แต่พอถึงวันที่จะไป เพื่อนดันมาแคนเซิลในคืนก่อนเดินทาง แต่ผมก็ให้กำลังใจตัวเองโดยการโทรหาเพื่อนคนอื่นๆเผื่อมีคนอยากไปด้วย แต่ท้ายสุดก็ไม่มีใครว่างเลย ทำให้ทริปนี้เป็น "Alone Trip In the Jungle" เตรียมตัวจองขึ้นเขาช้างเผือกกันก่อนเลย พระเอกของเราต้องมาก่อน ข้อกำหนดในการจองขึ้นเขาช้างเผือก จองวันที่จะขึ้นได้ล่วงหน้าไม่เกิน 7 วัน เช่น โทรจองวันที่ 23 มกราคม 2559 ก็จะได้ขึ้นวันที่ 30 มกราคม 2559 สามารถโทรจองได้ ที่เบอร์ 0 3451 0979 และ 09 8252 0359 ตั้งแต่เวลา 08.00-16.30 น. สามารถจองได้ไม่เกิน 10 คน ต่อ เจ้าหน้าที่ 1 คน ต้องแจ้งชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชนของทุกคนทันที แล้วจัดส่งเอกสาร(สำเนาบัตรประชาชน) ของทุกคนทาง E-mail : Thongphaphumoffice@gmail.com ภายใน 1 วัน ลงทะเบียนที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เวลา 07.00-08.00 น. ล ค่าบริการผ่านเข้าอุทยานแห่งชาติ ดังนี้ - ค่าบริการสำหรับบุคคล 40 บาท (ผู้ใหญ่ชาวไทย) 20 บาท (เด็กชาวไทย) - ค่าบริการสำหรับชาวต่างชาติ 200 บาท (ผู้ใหญ่ชาวต่างชาติ) 100 บาท (เด็กชาวต่างชาติ) - ค่าบริการสำหรับยานพาหนะ รถยนต์ 30 บาท จักรยานยนต์ 20 บาท - ค่าบำรุงสถานที่พักกางเต็นท์ 30 บาท/คน/คืน เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัย ๑ คน ต่อนักท่องเที่ยว 10 คน 1,800 บาท ลูกหาบ 1 คนจะแบกสัมภาระไม่เกิน 30 กิโลกรัม 1,300 บาท กิโลต่อไป กิโล 30 บาท สำหรับอาหาร ควรเป็นอาหารที่ประกอบง่าย แนะนำเป็นแก๊สปิคนิคในการใช้ประกอบอาหาร สำหรับน้ำดื่มควรเตรียมคนละ 3 ลิตรขึ้นไป ห้องน้ำมีบริการที่บนเขา ลักษณะเป็นส้วมหลุม ควรเตรียมทิชชู่เปียกไปด้วย ข้อมูลเพิ่มเติม เว็บไซต์ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี สำหรับทริปนี้สิ่งที่ยากที่สุด ยากมากๆ ยากจริงๆ กว่าการปีนเขา คือ การโทรไปจองขึ้นเขาให้ได้นั้นเอง เพราะต้องใช้ความอดทนมากทีเดียว ผมโทรจองวันที่ 22 ธันวาคม เพื่อที่จะได้ปีนเขาช้างเผือกวันที่ 29 ตั้งนาฬืกาปลุก 7.50 น. นาฬิกาปลุกดังปัป หยิบโทรศัพท์โทร โทรอย่างเดียว สายไม่ว่างก็โทรต่อ วันแรก โทรไป 200 กว่าสาย เจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์ เวลา 8.41 น. เจ้าหน้าที่บอกว่า "ขึ้นเขาช้างเผือกเต็มแล้วค่ะ" T T ไม่เป็นไร เอาใหม่ ทำเหมือนเดิม ตั้งนาฬิกาปลุกตื่นเช้าวันที่ 23 กระหน่ำโทรเลย ติดเเล้ว ก็แจ้งข้อมูลสำหรับการจองกับเจ้าหน้าที่ไป ได้ปีนวันที่ 30 ธันวาคม 2559 ดีใจ ยิ้มให้ตัวเองกับสิ่งที่ได้ ------ สิ่งที่เตรียมสำหรับขึ้นเขาช้างเผือก ------ เตรียมร่างกายของตนเองให้พร้อม (พักผ่อน ทานอาหารให้ครบห้าหมู่ อย่าเจ็บ อย่าป่วย อย่าไข้) เงิน ค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ ลูกหาบ เต้นท์ ผ้าห่ม หรือถุงนอน เสื่อ เสื้อกันหนาว เสื้อผ้าสำหรับไปเปลี่ยนข้างบนเขา ถุงมือ (สำหรับจับสลิงตอนปีนเขา) รองเท้า (เลือกคู่ที่ทนๆ คู่ที่คิดว่าพื้นรองเท้าจะไม่หลุดน่ะครับ) หมวก แว่นกันแดด ไฟฉาย อาหารสำเร็จรูป เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบคัฟ หรือโจ๊กคัฟ น้ำขวด ขนาด 600 มล 2 ขวด สำหรับ ปีนขึ้น และปีนลง และน้ำ1.5 ลิตร 2 ขวด (ถ้าใครชอบดื่มน้ำมากก็เพื่มไปได้ครับ แต่อย่าลืมว่าระหว่างทางขึ้นไม่มีห้องน้ำ) แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ยาสามัญประจำตัว *หมายเหตุ - ถุงเท้ากันทาก ไม่ได้ใช้น่ะครับ เพราะช่วงที่ผมไปเจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่มี ทาก ครับ - ไม้เท้าสำหรับพยุงตัว แล้วแต่คนจะสะดวกซื้อ หรือ ไปหาข้างหน้าก็ได้ครับ เพราะมีคนที่ปีนลงมา ก็จะวางไว้ตรงทางขึ้น เรื่มเดินทางวันที 29 มกราคม ผมเก็บของที่เตรียมไว้ขึ้นรถ ของขึ้นครบก็ล็อกบ้าน ขับรถมุ่งหน้าไปจังหวัดกาญจนบุรี ครั้งนี้คือครั้งแรกในการขับรถไปกาญจนบุรีเองคนเดียว ทำให้ไม่รู้เส้นทาง ผมหยิบโทรศัพท์มาใช้ Google Map พิมพ์จุดหมายปลายทางแล้วขับรถออกไปตามทาง ไปเรื่อยๆ รถน้อยมากเหมือนไม่ใช่ช่วงเทศกาล อาจจเป็นเพราะว่าคนส่วนใหญ่ เขาจะหยุดหลังวันศุกร์ ที่ 30 ขับมาถึงหนองกระทุ่ม ก็เริ่มหิวข้าว พยายามมองหาร้านอาหารซ้ายขวา ก็มาหยุดที่ร้าน “ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระบุฟเฟ่” ที่ร้านจะมีเมนูหลายอย่างมาก ดูได้จากบอร์ดรายการอาหาร แต่ signature จะเป็น ไก่มะระบุฟเฟ่ ราคา แค่ 40 บาท * หมายเหตุ 1 ชามตักได้ 1 ครั้ง ตักให้เต็มอื่มเลยจ้า ถ้าตีนไก่เหลือโดนปรับน่ะเออ Location ร้าน : https://goo.gl/maps/39HsXHgdDHp , 14.124782, 99.689958 อิ่มท้อง ก็เดินทางต่อครับ ขอบคุณเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มากครับ ทิ้งท้าย ผมถามเจ้าของร้านว่า คนแถวนี้ชอบทานอะไรครับ พี่เขาบอกว่า “ชอบกินตีน....ไก่จ้า” (พูดเสียงเน่อ ของคนกาญ เพื่อความอรรถรส) มีปล่อยมุขฮาก่อนออกมา ผมก็ยิ้มขอบคุณแล้ว ขับรถต่อมุ่งหน้าไป ยังอุทยานทองผาภูมิ ขับมาสักพัก นึกได้ว่า เวลาเหลือ แวะสะพานแม่น้ำแคว ไปดูบรรยากาศก่อนปีใหม่ ออกจาสะพานแม่น้ำแคว ก็เดินทางต่ออีก อีกประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ก็จะบ้านอีต่องครับ ขับมาเรื่อยๆ ดูขีดน้ำมันเหลือเกือบเต็มถัง ก็ขับไป ด้วยความไม่มั่นใจว่าจะมีปั้มน้ำมันไหม เลย จอดแวะ ปั้มน้ำมัน เติมน้ำมัน อีกให้เต็ม และแวะซื้อมาม่า และโจ๊กคัพ เพื่อเตรียมขึ้นเขาช้างเผือก สักพักเพื่อนทักมาว่ามีรุ่นน้องอยู่ที่บ้านอีต่องพอดี ผมก็เลยโทรไปหา และนัดเจอกัน เป็นความบังเอิญมาก เพราะรุ่นน้องคนนี้ผมคิดไว้ว่าจะโทรหาเพื่อชวนไปปิล็อกด้วยกันแต่เห็นว่าเขาพึ่งกลับจากค่ายเลยคงเหนื่อย และคงไม่ไป แต่ก็นั้นแหละครับ คิดเองเออเอง ก็เลยต้องมาคนเดียว แนะนำสำหรับคนขับรถครับ ให้เติมน้ำมันให้เต็มถัง จะมีปั้ม PTT อยู่ขวามือ เพราะไปถึงอีต่องแล้วจะมีแต่ปั้มหลอด ราคาก็จะแพงขึ้นไปอีก ขับถึงเขื่อนวชิราลงกรณ์ ก็ตรงต่อไป ได้เห็นวิวชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนแพ ด้านขวามือ ก็สวยไปอีกแบบ ได้เห็นบรรยากาศดีดี ขับไปสักพัก ทางจะเป็นสองเลน เริ่มขึ้นเขาสัญญาณมือถือ(Dtac)ก็เริ่มหายครับ และหายไปเลย เหลือไว้แค่ Google map ที่นำทางต่อไป จากเริ่มนับโค้ง ไม่มีใครสามารถติดต่อผมได้ครับ ขับรถไปเรื่อยๆ ชั่วโมงกว่าก็ถึง บ้านอีต่องครับ ป้ายนี้เลย ก็จอดแวะพักเข้าห้องน้ำสาธารณะ ขวามือ มองเห็นจากถนน ขับต่อไปอีกครับ เพราะเป้าหมายผมอยู่ที่ หมู่บ้านอีต่องด้านใน บ้านคนจะเรียกว่าหมู่บ้านปิล็อก ถึงแล้วครับ หมู่บ้านอีต่อง อยู่ในหุบเขา และใกล้ชายแดนพม่า มาถึงประมาณบ่ายสามกว่าๆ เวลาไม่เย็นมากกำลังดี ที่หมู่บ้านตรงทางเข้าก็จะมี แผ่นไม้ขายให้นักท่องเที่ยวเขียนและมัดติดกับที่กั้นที่เป็นท่อเหล็ก I-Tong In Love ที่หมู่บ้านจะมีบ่อน้ำเล็กๆ มีปลา แต่ไม่อนุญาติให้เล่นน้ำได้น่ะครับ แดดแรงทีเดียว รับ Vitamin D ไปเต็มๆ ถึงมีแต่แดดแต่ลมพัดตลอดเวลา เย็นสบาย ไม่ร้อน เสร็จปัป เดินเข้าไปในหมู่บ้าน ก็เจอรุ่นน้อง เจอหน้ากันปัป ก้ไม่ได้อะไร แค่ดีใจว่า มาก็เจอคนที่รู้จักบ้างละวะ 555 ไม่เหงาแล้ว รุ่นน้องเลยบอกว่า พาไปดูวิวที่เนินช้างศึก ผมก็เดินกลับมาขึ้นรถ และขับรถย้อนกลับไปทางขึ้นเนินช้างศึก ทางก็แคบครับ สองเลนเล็กๆ แต่รถไม่เยอะ ก็ไปได้สบายๆ ถึงเนินช้างศึกหาที่จอด ที่ป้อมทางขึ้น ให้จอดรถข้างล่าง เดินขึ้นไปครับ ท้องฟ้าเปิดครับ แต่แดดแรง และลมแรงกว่าข้างล่าง ไม่เหมาะสำหรับกางเต้นแน่นอน เพราะเต้นไม่ปลิวก็ เต้นจะพังเอา ชมวิวจนอิ่ม ก็บอกรุ่นน้องว่าไปหาข้าวกินดีกว่า หิวแล้ววว ขับรถมาเหนื่อยมาก ขับรถลงไปยังหมู่บ้าน เดินเล่นชมวิว มีเสื้อผ้าขาย สำหรับใครต้องการ act local ครับ จัดไปเลย มีทั้งของผู้ชายและของผู้หญิง ค่าเสียหาย 250 บาท ร้านขายจองที่ระลึก จากหมู่บ้านปิล็อก กำลังนั่งเขียนโปสการ์ด ส่งให้ตัวเองครับ ค่าโปสการ์ดรวมสแตมป์ ราคาน่าจะ 30 บาท ในหมู่บ้านมีร้านกาแฟ นั่งชิว ร้านอาหาร ร้านให้เช่าเต้นท์ ราคา 150 บาท/หลัง ขายของฝาก แป้งทานาคา และฯ อาหารมื้อแรก ณ บ้านอีต่อง บรรยากาศ เรื่มเย็นกว่าเดิม แต่ลมก็ยังแรงไม่น้อยไปกว่าเดิม ผมก็เดินไปหาที่กางเต้นตรงลานจาอดเฮลิคอปเตอร์ ตรงที่กางเต้น จะใกล้ๆ โรงเรียนของหมู่บ้าน และมีห้องน้ำให้บริการหลายห้อง สะอาด ใช้ได้ครับ กางเต้นหลังรถพอดีครับ เต้นเล็กๆ สำหรับสองคน แต่นอนคนเดียว ต้องนอนขวางครับจะได้นอนเหยียดขายาวๆได้ มองไปทางห้องน้ำ ข้างล่าง มีคนากางเต้นพอสมควร และเห็น เขาช้างเผือกมาแต่ไกลๆ นั้นคือ เป้าหมายของเรา พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปปีนเขา เฮ้... กางเต้นเสร็จ ก็ลงไปหมู่บ้าน ไปอาบน้ำแร่ เขามีให้เลือกระหว่าง น้ำอุ่นที่ใช้แก๊ส 30 บาท กับน้ำเย็น 20 บาท ผมเลือกน้ำเย็น ไม่ใช่เพราะถูกแต่อาบน้ำอุ่นไม่ได้ เพราะเดวขึ้นผื่น อาบเสร็จ จ่าย 30 บาท เพราะเจ้าของเขาเปิดแก๊สให้เป็นน้ำอุ่น เพราะคิดว่าผมอาบน้ำอุ่น เฮ้อ.... ไม่เป็นไร มันคือสีสัน ก็ให้ป้าไป บรรยากาศ หัวค่ำครับ เดินกลับเข้าไปเดินเล่นในตลาดไปนั่งคุยกับรุ่นน้องและครอบครัว คุยกันยาวๆ ได้เวลาก็กลับไปที่เต้นเตรียมตัวนอน ระหว่างนอนก็นอนไม่ค่อยหลับครับ ยังไม่ชิน ลมก็พัดแรงจนเต้นท์ กระพือ โยกไปมา หลับๆ ตื่นๆ ตื่นมาอีกทีตีสามกว่า รู้สึกว่าไม่ไหว วิ่งขึ้นไปพับเบาะหลัง แล้วปูผ้านอนครับ หลับยาวเลยทีนี้ตื่นหกโมงเช้า รีบลงไปเก็บเต้นท์ เก็บเสื้อผ้า เก็บของที่จะเตรียมขึ้นเขาเช้านี้ครับ เสร็จลงมาหมู่บ้านหาข้าวเช้าทาน มาทานไข่กระทะ ราคาไม่แพง ที่ I-Tong home stay อีต่องโอมสเตย์ มีโจ๊กให้ทานด้วย นั่งทานหน้าร้าน ชมบรรยากาศตอนเช้า มีนักท่องเที่ยวเยอะทีเดียวครับ เวลายังเหลือ ก็ ตักบาตรเช้าครับ ได้เวลาก็ไปจุดรวมพล ก่อนขึ้นเขา เอาของไปให้ลูกหาบชั่งน้ำหนัก ของผมรวมๆแล้วห้ากิโลครับ คิดราคาก็ 1,300 บาท ไม่หารกับใครเลย เดินตัวเปล่า กับน้ำ 1 ขวด และ ขนมจีบ 10 ลูก ไว้กินระหว่างทาง พร้อมกัน เราก็เดินไปที่จุดตรวจบัตรเขาช้างเผือก ระยะทางจากสามแยกทางไปเขาช้างเผือก ประมาณ หนึ่งกิโลกว่าๆ ทางก็ลง ขึ้น มีสายธารไหลผ่าน มาถึงจุดตรวจบัตรจะมีเจ้าหน้าที่ให้เราลงทะเบียน และถ่ายรูปหมู่ก่อนเรื่มขึ้นเขาครับ กว่าจะมาถึงตรงนี้บอกเลยว่า ในใจคิดมาหลายอย่าง อย่างแรกไม่ปีนได้ป่ะวะ แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว 5555 แต่ก็เดินหน้าต่อไป สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี ติดต่อใครก็ไม่ได้ แม่พ่อ ก็ไม่ได้คุย ไม่กล้าขอยืมสัญญาณอินเตอร์เน็ทกับเจ้าหน้าที่ ก็ทนๆเอา ไม่ได้ติดต่อไม่เป็นไร เจอ stranger ก็ยิ้มๆให้เขาไป ทักทายไป เห็นอะไรไหม ไกล ๆ นั้นน่ะ เขาช้างเผือก ตรงนี้ไม่ใช่น่ะ ตรงนั้นอ่ะใช่ ทางเดินแรก ๆ จะยังมีต้นไม้ใหญ่รอบ ๆ ซ้ายขวา ยังไม่ถึงที่จุดพักแรก ก็เดินกันต่อไป เหลือแต่ป่าหญ้า ด่านแรก ของการปีน ก็มาแล้วครับ ทางขึ้นเป็น ดินทราย มีเชือกให้เราจับพยุงตัวไม่ให้ไหลลงไป Mind your step คำนี้จะใช้ไปตลอดเส้นทาง มองไปที่เขาลูกนั้น คิดในใจ เหลือเขาอีกกี่ลูกว่ะ เกิดความท้อในใจ แต่มองไปรอบๆ มีผู้หญิงมาปีนด้วย เขายังไม่บ่นเลย แถมแบกของด้วย หรือเขาคิดในใจแบบเราว่ะ 555 คิดเองเออเอง อีกแล้ว บอกตัวเอง เดินเล่นชิวๆวะ เดินต่อ เดินขึ้นอีกแล้วหรอ 555 คนอะไรขี้บ่นจัง เขาลูกนั้น มาให้เราเห็นอีกแล้ว เมื่อไรจะถึง เฮือกๆ จุดพักที่เท่าไรไม่รู้ แต่รู้ว่ามันร่มดี ดงไผ่ มีแต่ไผ่ พักจิบน้ำ กินขนมจีบ เหนื่อยจนไม่อยากกินไรเลย แต่ต้องกินเพราะท้องร้อง 555 กินเสร็จ เดินต่อดิรอไร เขาช้างน้อยละนะ อันนี้น้องช้าง ลูกช้าง ให้ความหวังว่ามันใกล้แม่ช้าง ปีนอีกแล้วววว T T ปีนขึ้นมา หันหลังไปมอง อย่าไหลตกไปนะ เจ็บแน่นอน สดชื่นไรแบบนี้ ได้หมดถ้าสดชื่น แดดแรง ลมก็แรง ยังดีกว่าไม่มีลมวะ (บ่นในใจ) แต่เห็นอะไรไหม เราเข้าใกล้มันอีกแล้ว สู้เว้ย แอบมองแม่ช้าง ในพุ่มไผ่ แม่จะเห็นเราไหม ถึงอีกป้ายนึง เขาลูกช้างอีกแล้ว เดี๋ยวๆ นึกว่าลูกช้างมีตัวเดียว 555+ เห็นจุดกางเต้นแล้ว ลูกหาบมาทีหลัง เดินแซงไปแล้ว ลูกหาบได้ใบประกาศกี่ใบแล้วเนี่ย เดินเก่งจัง พอลงไปถึง คนที่เอาแบกเต้นท์มาเอง ก็จัดเตรียมหาที่กางของใครของมัน ของผมลูกหาบแบกมาให้ ผมก็ ขอตัวนอนพักเหนื่อย เพราะเหนื่อยจริงๆ ตื่นมาอีกที เดินตามหาลูกหาบไม่เจอ ก็คิดในใจว่าทำไมของเรายังมาไม่ถึง ไม่เจอก็นอนต่อ 5555 ตื่นมาอีกที เขากางเต้นท์ให้แล้ว เอาของวางในเต้นให้เสร็จเรียบร้อย คือดีจัง เจ้าหน้าที่แจ้งว่า เด๋วรอบ่ายสามค่อยปีนขึ้นสันคมมีด จุดเรื่มต้นอยู่ตรงนี้ครับ มองไปข้างหน้า หันหลังกลับไปมอง มองด้านขวามือ ปีนอีกแล้ว คอแห้ง น้ำก็ไม่หยิบมาสักขวด อดทน ดิ ได้เวลาไต่เชือกแล้ว มองทางซ้าย ทางขวา ก็ไม่ต่างจากเหวเลย ผ่านมาได้ ก็เริ่มการวัดความคมของสันมี ข้างหน้า และข้างหลังเป็นวิว ของสันคมมีด ในที่สุด และในที่สุด และในที่สุดครับ มาถึงยอดเขาช้างเผือก เป็นจุดที่สามารถมองเห็นฝั่งพม่าและไทย แบบ 360 องศา คนที่มาถึงก่อนก็ทยอยเดินกลับ เพราะเวลา 5โมงเย็น ต้องลงให้หมดทุกคน จะมีเจ้าหน้าที่ คอยดูแลตลอดเส้นทาง ทุกจุดที่เป็นจุดเสี่ยงเกิดอันตราย ขากลับก็จะเดินหันหน้าให้ดวงอาทิตย์ ก็จะได้บรรยากาศอีกแบบ สุภาษิต บอกไว้ว่า ขึ้นหลังช้างแล้วลงยาก เอ้ย ขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก ภาพดวงอาทิตย์จะลับลาของวันนี้ เป็นภาพที่เด็กๆ ชอบวาดกันตอนวัยเยาว์ แสงสุดท้ายของวัน Miss This Moment ต้องรีบลงครับ มันจะมืด ไม่ได้เอาไฟฉาบติดตัวมา ลงมาก็เห็นคนกางเต้นท์เสร็จเรียบร้อยเลย ตอนนี้ก็หิวครับ เข้าไปหยิบมาม่าคัพ และน้ำเปล่า ไปให้ลูกหาบ เขาต้มน้ำร้อนให้เรียบร้อย แค่เอาน้ำไปแลกมาครับ เสร็จก็รอได้ที่ก็กินสิครับ ปอบลง เดินไปหาพี่ๆที่เดินขึ้นเขามาด้วยกัน ไปดูพี่ๆทำอาหาร แบบจัดเต็ม กว่าจะได้กิน กว่าจะได้นอน แสงแรกของวันรุ่งขึ้นครับ ตื่นเช้า แปรงฟัน ล้างหน้า เอาโจ๊กและน้ำเปล่า ไปให้กระเหรี่ยง(ลูกหาบ) เติมน้ำร้อนให้ครับ เรียบร้อยก็เก็บกระเป๋า ของที่จะขนลงเขาวางไว้นอกเต้นท์ และแยกขยะไว้ ลูกหาบจะเก็บเต้นท์ให้ครับ และขนขยะลงมาทิ้งให้ครับ เป็น Full Service จริงๆ ผมชอบภาพนี้ครับ มันทำให้มีพลังในการใช้ชีวิตในวันต่อๆไป นี่คือพี่ๆทหาร ที่คอยดูแลพวกเราทุกคน ตั้งแต่เดินขึ้น จน ขาลง อำนวยความปลอดภัย ให้ทุกอย่าง ปล ถ่ายรูปตอนพี่ๆเขาไม่ได้ตั้งตัว ขากลับ ผม เก็บของเสร็จ เรียบร้อยเป็นคนแรก จึงขอพี่ทหาร ลงไปก่อน และมีน้องหมาตัวนี้ นำทาง เดินกลับออกมาพร้อมกัน จำชื่อหมาไม่ได้ลืมจริงๆ ใครจำได้ก็แจ้งมาที ออกจากจุดกางเต้นท์ 8 โมง ลงมาถึงข้างล่าง 9 สิบกว่านาที ใช้เวลา ชั่วโมงหน่อยๆ งง กัน อ่ะสิ ทำไมขากลับไวจัง นั้นเป็นเพราะ ไม่ต้องรอใคร และ เห็นทางเดินที่ไม่ต้องเดิน แต่วิ่งลงเขาเลยละครับ และคาดคะเนว่าจะสามารถเบรกได้โดยไม่ล้ม แต่ตรงไหนวิ่งไม่ได้ก็ค่อยๆเดินเอา แต่จุดที่วิ่งได้ก็วิ่งครับ ถ้าถามว่ารีบหรอ ก้รีบครับ เพราะอยากอาบน้ำแล้ว เมื่อคืนเดินขึ้นมีเหงื่อแน่นอน ไม่ได้อาบน้ำ นอนอย่างนั้นเลย 555 ลงมาถึงปัป ตกใจกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพื่มขึ้นมหาศาล แต่ก็คึกคักดี เสร็จก็ไปหาอะไรทานเพื่ม รอลูกหาบขนของมาให้ครับ