หากพูดถึงจังหวัดลำปาง หลายคนอาจนึกถึงรถม้า วัดพระธาตุลำปางหลวง หรือกลิ่นอายของเมืองล้านนาที่สงบ แต่ในมุมหนึ่งของอำเภอเมืองปาน ยังมี “อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน” ที่ซ่อนความงามของธรรมชาติอันบริสุทธิ์ไว้ท่ามกลางขุนเขาและไออุ่นจากน้ำพุร้อนธรรมชาติ เป็นสถานที่ที่เหมาะทั้งสำหรับการพักผ่อน เติมพลังใจ และสัมผัสบรรยากาศป่าเขาอย่างแท้จริง การเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนไม่ยากเลย จากตัวเมืองลำปางใช้เวลาเดินทางราว 1 ชั่วโมงครึ่ง ระยะทางประมาณ 75 กิโลเมตร เส้นทางโค้งเล็กน้อยแต่ขับง่าย ถนนดี บรรยากาศสองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี โดยเฉพาะในฤดูฝนหรือปลายฝนต้นหนาว หมอกจะปกคลุมยอดเขาเป็นระยะ ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในอีกโลกที่เงียบสงบ เมื่อขับรถเข้าสู่เขตอุทยานฯ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ “ความร่มรื่นและเสียงธรรมชาติ” ไม่ว่าจะเป็นเสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล หรือไอร้อนจาง ๆ ที่ลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำร้อนแจ้ซ้อน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่อย่างแท้จริง น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน – ของขวัญจากธรรมชาติที่อุ่นใจ หัวใจของอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนคือ “บ่อน้ำพุร้อนแจ้ซ้อน” ที่เกิดจากความร้อนใต้พิภพดันน้ำแร่ธรรมชาติขึ้นมาบนผิวดิน อุณหภูมิโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 75–85 องศาเซลเซียส ละอองไอร้อนที่ลอยขึ้นท่ามกลางหินและไม้ใหญ่รายล้อม กลายเป็นภาพที่สวยงามและผ่อนคลายสุด ๆ หนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวต้องลองคือ “ต้มไข่ในบ่อน้ำร้อน” ไข่ไก่หรือไข่นกกระทาที่ต้มในบ่อจะมีรสชาติหอม มีกลิ่นกำมะถันอ่อน ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ กำลังดีไม่เหมือนที่ไหน ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็ได้ไข่สุกพอดีแบบไข่ยางมะตูม ราดซีอิ๊วหน่อย บอกเลยว่าฟินเกินคำบรรยาย บริเวณรอบ ๆ บ่อน้ำร้อน ยังมีจุดให้แช่เท้าในน้ำแร่ธรรมชาติ ซึ่งอุณหภูมิอุ่นกำลังดี ช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะถ้าได้แช่เท้าท่ามกลางบรรยากาศเย็น ๆ ของภูเขาในยามเช้า จะรู้สึกเหมือนร่างกายได้ฟื้นฟูพลังจากธรรมชาติอย่างแท้จริง เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ – เดินช้า ๆ แล้วฟังเสียงป่า สำหรับคนที่ชอบเดินป่าแบบเบา ๆ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนก็มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้เดินชมความงามของผืนป่าและธารน้ำตก เส้นทางยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตร ผ่านลำธารเล็ก ๆ ต้นไม้สูงใหญ่ และบางช่วงมีสะพานไม้ให้เดินข้ามระหว่างหุบเขา ระหว่างทางเราจะได้ยินเสียงน้ำตกแจ้ซ้อนดังแว่ว ๆ อยู่ไม่ไกล เสียงนกป่าและลมพัดยอดไม้กล่อมให้ใจสงบ ทุกฝีก้าวที่เดินเหมือนได้ปล่อยวางความวุ่นวายไว้ข้างหลัง เหมาะกับคนที่อยากมาพักใจจริง ๆ น้ำตกแจ้ซ้อน– สายน้ำเย็นกลางขุนเขา เมื่อเดินตามทางไปเรื่อย ๆ จะมาถึง “น้ำตกแจ้ซ้อน” ที่เป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของอุทยานแห่งนี้ น้ำตกแจ้ซ้อนมีทั้งหมด 6 ชั้น ไหลลงมาตามโขดหินสลับซับซ้อน ท่ามกลางป่าไม้เขียวครึ้ม บางช่วงมีแอ่งน้ำให้ลงเล่นได้ น้ำใส เย็นจัด โดยเฉพาะในฤดูฝนที่น้ำไหลแรงจะสวยงามมาก ชั้นที่นิยมที่สุดคือชั้นที่ 3 และ 4 เพราะน้ำตกไหลลดหลั่นลงมาสวยงาม มีพื้นที่ให้พักผ่อนและเล่นน้ำได้สะดวก นักท่องเที่ยวมักมาปูเสื่อรับประทานอาหารกลางวันริมธารน้ำ เย็นสบายตลอดวัน ใครที่อยากได้ภาพสวย ๆ ก็อย่าลืมเตรียมกล้องมาด้วย เพราะทุกมุมของน้ำตกคือมุมมหาชนที่ถ่ายยังไงก็สวย พักค้างแรมในอ้อมกอดธรรมชาติ อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนมีที่พักและลานกางเต็นท์ให้บริการครบครัน มีทั้งบ้านพักแบบรีสอร์ตไม้และพื้นที่กางเต็นท์ริมลำธาร บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหลีกหนีจากความวุ่นวายมาพักใจ ในยามค่ำคืน อุณหภูมิจะค่อนข้างเย็น โดยเฉพาะช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์ บางคืนอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศา สามารถเห็นไอหมอกลอยคลอไปทั่วบริเวณ ใครที่นอนเต็นท์จะได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องและสายน้ำไหลข้างเต็นท์ เป็นประสบการณ์ธรรมชาติแท้ ๆ ที่หาไม่ได้จากเมืองใหญ่ ถ้าอยากอาบน้ำแร่แบบส่วนตัว ที่นี่ก็มี “บ่ออาบน้ำแร่” ให้บริการในอาคารอาบน้ำแร่แยกชายหญิง ราคาย่อมเยา น้ำแร่ที่นี่อุดมไปด้วยแร่ธาตุจากธรรมชาติ ช่วยให้ผิวพรรณเนียนนุ่มและช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ดีมาก เวลาไหนน่าไปที่สุด อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนเปิดให้เข้าชมตลอดทั้งปี แต่ถ้าอยากสัมผัสบรรยากาศดีที่สุด แนะนำให้ไปช่วง ปลายฝนต้นหนาว (ตุลาคม – กุมภาพันธ์) เพราะอากาศเย็นสดชื่น หมอกลงในตอนเช้า และน้ำตกมีน้ำไหลแรงกำลังดี ส่วนฤดูร้อน (มีนาคม – พฤษภาคม) เหมาะสำหรับคนที่อยากมาแช่น้ำร้อนแบบเต็มที่ เพราะอุณหภูมิน้ำพุจะคงที่และคนไม่เยอะมาก กิจกรรมที่ไม่ควรพลาด 1. ต้มไข่ในบ่อน้ำร้อน – กิจกรรมยอดนิยมของนักท่องเที่ยว 2. แช่เท้าในน้ำแร่ธรรมชาติ – ผ่อนคลายและช่วยการไหลเวียนโลหิต 3. อาบน้ำแร่ส่วนตัว – มีห้องอาบน้ำแร่ให้เลือกทั้งแบบบ่อรวมและส่วนตัว 4. เดินชมธรรมชาติ – น้ำตกแจ้ซ้อน – เส้นทางเดินสั้นแต่เต็มไปด้วยชีวิตของผืนป่า 5. ถ่ายรูปหมอกตอนเช้า – โดยเฉพาะบริเวณบ่อน้ำร้อนที่ไอร้อนลอยคลุ้ง เป็นภาพที่สวยงามเหมือนฝัน ความประทับใจที่ไม่มีวันลืม สิ่งที่ทำให้อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนแตกต่างจากที่อื่น คือ “ความสงบและธรรมชาติที่สมบูรณ์” ที่นี่ไม่มีเสียงรถ ไม่มีแสงไฟนีออน มีเพียงเสียงธรรมชาติและกลิ่นไอของป่าเขา ทุกครั้งที่ได้มาจะรู้สึกเหมือนได้ชาร์จพลังชีวิตใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะยามเช้า ตอนที่หมอกบาง ๆ ลอยเหนือบ่อน้ำร้อน ทอดยาวไปถึงแนวต้นสนสูง เสียงน้ำหยดเบา ๆ ผสมกับเสียงนกที่เริ่มตื่น โลกทั้งใบเหมือนหยุดหมุนอยู่แค่ตรงนั้น เป็นภาพที่ตราตรึงใจจนไม่อยากกลับ สรุปความรู้สึกหลังจากไปเยือน อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็น “ที่พักใจของคนรักธรรมชาติ” อย่างแท้จริง ทั้งน้ำตก น้ำร้อน ป่าเขา และอากาศบริสุทธิ์ ทุกอย่างอยู่ในจุดที่ลงตัวพอดี ไม่มากไป ไม่น้อยไป เป็นการผสมผสานของความสงบและความงามที่ธรรมชาติสร้างขึ้นอย่างประณีตใครที่กำลังมองหาสถานที่ท่องเที่ยวที่ทั้งเงียบสงบ มีเสน่ห์ และช่วยเยียวยาจิตใจ ลองมาที่แจ้ซ้อนสักครั้ง แล้วจะรู้ว่า “ความสุขแท้จริง” บางครั้งอยู่แค่ในไอหมอกและเสียงน้ำไหล #อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน #แจ้ซ้อนลำปาง #น้ำพุร้อนแจ้ซ้อน #น้ำตกแจ้ซ้อน #เที่ยวธรรมชาติลำปาง ----- เครดิตภาพ : เจ้าของบทความ อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !