สวัสดีครับ กลับมาอีกครั้งกับการเดินทางครั้งของผม ทริปนี้ ผมออกเดินทางช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ใช้เวลา 3 วัน 2 คืน โดยมีจุดหมายปลายทางตามที่วางแผนเอาไว้ คือ จะไปชมสายหมอกยามเช้า และทะเลดาวยามค่ำคืน ที่ดอยหลวงเชียงดาว และเดินทางต่อไปยังอำเภอเวียงแหง ดินแดนที่ได้รับขนานนามว่า "ลับแลแห่งเชียงใหม่" เพื่อไปตามรอยเรื่องราวขององค์ดำ หรือสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กษัตริย์ยอดนักรบของชาติไทยครับ ไม่รอช้า ผมจะพาทุกท่านออกเดินทางไปพร้อมกันกับผมเลยครับ ผมเริ่มออกเดินทางเช่นเคย จากตัวเมืองเชียงใหม่ มุ่งสู่อำเภอเชียงดาว ตามเส้นทางถนนหมายเลย 107 ผ่านอำเภอแม่ริม อำเภอแม่แตง ซึ่งเมื่อเลยตัวอำเภอแม่แตงมาถึงทางสามแยกเมืองแกน ผมขอเลี้ยวซ้ายเข้าไปตามถนนหมายเลข 3038 เพื่อแวะไปชมบรรยากาศบนสันเขื่อนแม่งัดกันก่อนนะครับ เนื่องจากเวลาขณะนั้นเพิ่งจะบ่ายโมงนิด ๆ ยังพอมีเวลาที่จะเดินทางไปถึงดอยหลวงเชียงดาวได้โดยไม่เย็นหรือค่ำจนเกินไป จากทางแยกผมขับรถตรงเข้ามาประมาณ 10 กิโลเมตร ก็ถึงที่ทำการตัวเขื่อนครับ มีด่านเก็บค่าผ่านทางแต่หากมาเพียงเที่ยวชมสันเขื่อนไม่ได้ลงเรือล่องแพเจ้าหน้าที่จะไม่เก็บค่าผ่านทางครับ ถึงแล้วไปชมบรรยากาศบนสันเขื่อนแม่งัดกันเลยครับ ว่าสวยงามแค่ไหน ออกจากเขื่อนแม่งัด มุ่งหน้าสู่อำเภอเชียงดาวต่อกันครับ ซึ่งขาออกผมเลือกที่จะขับมุ่งหน้ามาตามถนนเลียบคลองส่งน้ำ ลัดเลาะเข้าป่า สวนลำไย มาทะลุผ่านด้านหลังริมปิงริเวอร์รีสอร์ท ตัดถนนหมายเลข 107 ซึ่งย่นระยะทางจากแม่แตงได้ถึง 12 กิโลเลยทีเดียว (แต่ใครไม่ชำนาญทางไม่แนะนำนะครับ อาจมีหลงได้ ฮ่าๆๆ แนะนำกลับไปทางเดิมดีกว่าครับ) เมื่อขับรถต่อไปเรื่อย ๆ ไม่นานนักก็เข้าสู่เขตอำเภอเชียงดาวมองเห็นดอยหลวงตั้งตระหง่านมาแต่ไกล เมื่อขับมาถึงทางแยกเข้าตัวอำเภอเชียงดาวให้ขับเลยต่อมาอีกไม่ไกลมากนักแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 3024 มุ่งหน้าสู่ทางเข้าดอยหลวงเชียงดาวเพื่อชมความงดงามของถ้ำหินปูนเชียงดาวกันก่อนเดินทางขึ้นไปนอนพักคืนนี้บนดอยหลวงครับ ถ้ำหลวงเชียงดาว อยู่ในเขตวัดถ้ำเชียงดาว ภายในมีหินงอกหินย้อย สวยงามแปลกตา เสียค่าบริการเข้าชมคนละ 20 บาท ครับ เมื่อเข้าไปภายในถ้ำ จะแบ่งเป็น 2 โซน คือ โซนที่สามารถเข้าชมได้ด้วยตนเอง กับ โซนที่เป็นโซนปิด ต้องมีผู้นำทางส่งตะเกียงเข้าไป เสียค่าบริการตะเกียงละ 100 บาท และหากใครต้องการรูปถ่ายสวย ๆ ในโซนนี้ ก็มีตากล้องให้บริการราคาก็รูปละ 40 บาท ผม เลือกที่จะใช้บริการครับ ถือว่าเป็นการช่วยเหลือชาวบ้านให้มีรายได้ เนื่องจากทางวัดเปิดโอกาสให้คนในชุมชนได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นไกด์ท้องถิ่นนำเที่ยวภายในถ้ำ เป็นการอยู่กันอย่างเกื้อกูล ไปชมภาพความงามภายในถ้ำกันเลยครับ ออกจากถ้ำเชียงดาว เลี้ยวซ้าย มุ่งหน้าสู่บ้านนาเลา ชุมชนโฮมสเตย์ระเบียงดาวอันเลื่องชื่อ (ช่วงที่ผมเดินทางไปยังไม่มีการจัดระเบียบและปิดหมู่บ้านนะครับ) ขับรถผ่านย่านชุมชน ป่าเขาสักระยะก็มาเจอด่านเก็บค่าผ่านทางเพื่อเข้าสู่เขตอุทยานแห่งชาติเชียงดาวคนละ 30 บาท จากจุดนี้เดินทางต่ออีก 10 กิโลเมตร ก็จะถึงปลายทางครับ ขับรถไต่ระดับความสูง มีวิวเขาดอยหลวงขนานเส้นทางไปเรื่อย ๆ อากาศเริ่มเย็นลงตามระดับความสูง ณ เวลานั้น 16.00 น. อุณหภูมิอยู่ที่ 20 องศา กำลังดีทีเดียว คืนนี้น่าจะหนาวอยู่นะ ขับรถมาสักพัก ซ้ายมือ มีป้ายบอกทางบ้านนาเลา เลี้ยวลงไปก็พบจุดพัก เห็นดอยหลวงพาโนรามาเต็มสายตา แรกเริ่มตั้งใจจะพักที่ระเบียงดาว ซึ่งเป็นโฮมสเตย์จุดสูงสุดของที่นี่ แต่เต็มซะก่อน เลยเดินลงด้านล่างไปดูจุดอื่น ๆ จนมาหยุดที่ปลายสุด โฮมเสตย์หมอกตะวันครับ โชคดีที่เหลือที่พักเป็นกระท่อมหลังสุดท้าย ราคาที่พักคิดเป็นรายหัวครับ หัวละ 500 บาท รวมอาหารเย็นและเช้าพรุ่งนี้ เก็บสัมภาระเข้าที่พักคืนนี้เรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาเก็บบรรยากาศวิวสวย ๆ ของดอยหลวงยามเย็นเสียหน่อย แสงกำลังดีเลยครับ ตะวันเริ่มลับขอบฟ้า ปรากฏแสงดาวน้อยใหญ่ค่อย ๆ ทยอยเปล่งส่องแสงระยิบระยับ แต่เสียดายครับที่ผมไม่มีกล้องตัวใหญ่ เลยเก็บภาพมาฝากกันไม่ได้ ได้มาเพียงรูปเดียวกับดาวดวงเดียวที่ยิ้มรับให้ผมได้ถ่ายภาพกลับมา ค่ำคืนนี้ที่ดอยหลวง ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เราเห็นทางช้างผือกตั้งแต่สองทุ่มเลย อาหารมื้อค่ำพร้อมเสิร์ฟตอน 1 ทุ่มตรง มีกับข้าวสามอย่างครับ แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นมีไข่เจียว ตามด้วยผัดกระหล่ำปลี และต้มยำปลาช่อน กินกับข้าวสวยร้อน ๆ พอให้ได้อุ่นในค่ำคืนนี้ เสร็จแล้วเดินย่อยอาหารสักพัก เตรียมอาบน้ำมานั่งชมดาวตรงระเบียงบ้านพัก สามทุ่มพร้อมเข้านอนเพื่อเตรียมตัวตื่นแต่เช้ามาชมทะเลหมอกกัน ซึ่งคาดหวังว่าจะเจอนะ เช้านี้ผมตื่นตั้งแต่ 6.30 น. ออกมารับลมเย็นยามเช้าแต่แอบผิดหวังเล็ก ๆ เพราะฟ้าปิด เมฆครึ้ม กระแสลมบนเหมือนจะแรง ด้านล่างก็มีลมเคลื่อนไหว หมอกเลยก่อตัวได้ไม่นิ่ง แต่มีให้เห็นเป็นระยะ ๆ หลังจากเก็บภาพบรรยากาศยามเช้าแล้ว อาหารเช้าก็พร้อมเสิร์ฟตอน 7 โมงเช้า ทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมตัวออกเดินทางต่อ โดยตั้งใจที่จะมุ่งไปทางเมืองคอง ไม่ย้อนกลับทางเดิม เพราะอยากรู้ว่าเส้นทางจะเชื่อมต่อไปเวียงแหงได้หรือไม่และถือว่าเป็นการเปิดเส้นทางใหม่ ๆ ไปในตัว 8 โมงเช้าโดยประมาณ เดินทางออกจากบ้านนาเลา สู่ถนนเส้นหลักเลี้ยวซ้ายไปเมืองคองอีกประมาณ 26 กิโลเมตร ขับรถผ่านขุนเขา ธรรมชาติอันเขียวขจี แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้า อากาศเย็น ๆ ที่ 18 องศา ลำธารไหลเย็นริมทางเป็นระยะ ๆ เปิดกระจกรถ ปิดแอร์ สูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอด ไม่นานก็เดินทางมาถึงเมืองคอง ซึ่งทำให้เราตื่นตากับทุ่งนาสีทองเหลืองอร่าม เลยจุดรถตรงสะพานข้ามแม่น้ำคองฝั่งบ้านวังมะริว เก็บภาพบรรยากาศสักพัก และสอบถามเส้นทาง ซึ่งจากการสอบถามพบว่า ถ้าข้ามสะพานไปฝั่งตัวตำบลเมืองคองจะมีทางแยกสองทาง คือ เลี้ยวซ้ายเป็นทางลงใต้มุ่งไปสู่ห้วยน้ำดัง แม่แตง ปาย และเลี้ยวขวาเป็นทางขึ้นเหนือมุ่งสู่อำเภอเวียงแหงสายเก่า และเชื่อมไปปายต่อได้ เบื้องต้น เราตัดสินใจข้ามไปยังฝั่งตัวตำบลเมืองคองก่อนครับ ระหว่างถนนสองข้างทางขนาบไปด้วยทุ่งนากว้างใหญ่ตัดกับทิวเขาได้วิวนิวซีแลนด์เลยครับ เมื่่อถึงทางแยกเลี้ยวขวามุ่งหน้าไปสู่เส้นทางไปอำเภอเวียงแหง สองข้างทางได้เจอทุ่งนาสีทอง กำลังรอเก็บเกี่ยว โชคดีมากที่มาทันเวลา ได้สัมผัสบรรยากาศเมืองคองเก่า ๆ เหมือนย้อนเวลาไปยุคมนต์รักลูกทุ่งเลยล่ะครับ ขับรถเลยตัวเมืองคองมาได้สักระยะ ก็เจอทางแยก ขวามือ ไปบ้านป่าเชียงเป็นราดคอนกรีตอย่างดี ซ้ายมือไปเวียงแหง เป็นทางเกวียนลูกรัง เอาละสิครับ คือ พวกเราต้องเลี้ยวซ้ายใช่ไหม!!! คือ 25 กิโลเมตรนับจากนี้ จะเจออะไรบ้าง ไปดูกันเลยครับ คือ เส้นทางเป็นแบบนี้ไปตลอดทางเลย ขับรถออกมาถึงพื้นราบแล้วทางมาบรรจบกับถนนสาย 1322 ที่แยกมาจากถนนสาย 1178 ที่มุ่งขึ้นดอยอ่างขางตรงเมืองงาย ซึ่งถ้าใครจะมาแนะนำให้มาทางนี้จะสบายกว่าเยอะเลยครับ แต่ ณ จุดนี้ งง ครับ ว่า ผ่านทางเกวียนนี้มากันได้อย่างไร ยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ เริ่มอ่อนล้าและเพลียแรงเนื่องจากไม่มีอะไรลงท้องเลยในตอนเที่ยง ตอนนี้บ่ายแก่ ๆ แล้วค่อย ๆ ขับรถเข้าเมืองหาอะไรรับประทานรองท้องเสียหน่อย เมื่อขับผ่านจุดทางขึ้นเขา เห็นวิวท้องทุ่งกว้างใหญ่ สวยงามทีเดียว ว้าว!! ความอ่อนล้ามันหายเป็นปลิดทิ้ง ของลงไปเก็บภาพสวย ๆ และพักเล่าเรื่องราวไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ จะมีอะไรให้เที่ยวและตามรอยองค์ดำที่ไหนได้บาง มาติดตามกันในตอนต่อไปครับ