ทริปนี้จริงๆ เราวางแพลนจะไปกันตั้งแต่ปี 2563 แต่ปรากฏว่าเจอพิษโควิดเข้าไป ทำให้เราต้องพับแผนไปโดยปริยาย แต่พอเข้าสู่ปลายปี 2564 สถานการณ์โควิดเริ่มดีขึ้น แถมเราก็มีวัคซีนเต็มแขนแล้วด้วย สุดท้ายเราก็เลยตัดสินใจหยิบแพลนเดิมขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้งกระดุมเม็ดแรกที่ต้องติดสำหรับทริปนี้ก่อนที่จะดำเนินการอย่างอื่นต่อก็คือ การจองที่พักในบ้านรักษ์ไทยที่มีชื่อว่า “ลีไวน์รักไทย รีสอร์ท” (Leewine Rukthai Resort) ให้ได้ ถึงขนาดที่ว่า ถ้าที่พักเต็ม เราก็จะย้ายวันเดินทางจากช่วงกลางเดือน ก.พ. ไปเป็นช่วงอื่นแทนเราเริ่มจองที่พักกันแบบจริงๆจังๆ ตั้งแต่ช่วงปลายเดือน พ.ย. ปี 64 ซึ่งก็โชคดีที่ยังมีห้องว่างให้เราได้เลือกอยู่ (ณ วันที่เขียน ผมลองเช็คเล่นๆช่วง High season ตั้งแต่ ต.ค. - ม.ค. ปี 66 คือเต็มหมดแล้วนะ แต่เดือน ก.พ. ปี 66 ยังพอได้ลุ้น)สำหรับการจอง สามารถเข้าไปยังเว็บไซต์ https://reservation.roomscope.com/1166/th ได้เลย ซึ่งราคาที่พักก็จะขึ้นอยู่กับช่วงที่เราไปและจำนวนคนที่เข้าพัก แต่ราคาไม่แรงครับ ตอนที่เราไป เราจองบ้านที่ชื่อว่า “บ้านชาหลงจิ่ง” สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 5,700 บาท ไปกัน 6 คน ก็ตกคนละไม่เกิน 1,000 บาทTips: 1. ที่พักของลีไวน์บ้านรักไทย ค่อนข้างมีความเก่านิดหนึ่งนะครับ แต่ถ้าใครอยากได้ห้องพักที่ดูใหม่ แนะนำห้องพักโซนบนสุดที่ชื่อว่า “บ้านไวน์ลูกพลัม” (เหมาะสำหรับกลุ่มใหญ่ 6 – 12 คน), บ้านไวน์พีชและบ้านไวน์มะข้ามป้อมที่แบ่งแยกย่อยเป็น 3 ห้อง (เหมาะสำหรับกลุ่มเล็กๆ 2 – 4 คน)2. หลังจากออกจากที่พักปรากฏว่าเกือบจะทุกคนมีอาการคันบริเวณขา ไม่แน่ใจว่าเกิดจากพวก Bed bug หรือ อาจจะแพ้แมลงหรือพืชบางชนิดจากการเดินแถวไร่ชา ดังนั้น เพื่อความชัวร์แนะนำให้ใส่เสื้อและกางเกงขายาวนอน หรือ ติดปลอกหมอนไปเองจะก็น่าจะดีนะครับ3. ถ้าเราจองที่พักของ “ลีไวน์รักไทย รีสอร์ท” ไม่ได้จริงๆ ก็ยังมีอีกหลายที่พักที่น่าสนใจนะครับ เช่น ชาสารักไทย รีสอร์ท / Wojia我家 (ล่าสุดเห็นว่าปิดปรับปรุง และจะกลับมาเปิดอีกครั้งปี 66) เป็นต้น4. สำหรับคนที่ไม่ได้เข้าพักที่นี่ เห็นว่าทางรีสอร์ทเขาก็ใจดีให้คนนอกสามารถเข้ามาเดินเล่นได้ในช่วงที่แขกเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมแล้ว (ไม่แน่ใจว่าช่วงเวลาไหน แต่ถ้าจำไม่ผิดคือช่วง 11.00 – 14.00 แต่ยังไงก็ลองเช็คกับทางที่พักดูอีกทีนะ)หลังจากที่จองที่พักสำเร็จเรียบร้อย เราก็ทำการจองตั๋วเครื่องบิน ที่พักในวันอื่นๆ และรถตู้พร้อมคนขับกันต่อ ปล. เราลองเช็คราคาเช่ารถยนต์มาขับกันเองสำหรับ 6 คนเทียบกับการเช่ารถตู้แล้ว ปรากฏว่าราคาไม่ต่างกันมาก ซึ่งด้วยความอยากสบาย เราเลยตัดสินใจจองลองรถตู้ไปเลยจ้า สนนราคาก็ประมาณ 1,800 บาทต่อวัน + ค่าน้ำมันอีกประมาณ 2,000 บาท ณ ตอนนั้น ซึ่งรวมๆแล้ว 5 วัน ค่าเดินทางก็ตกอยู่ที่ 10,000 นิดๆ หาร 6 คนครับ (ย้ำนะครับ ราคาน้ำมันเป็นช่วงก่อนสงครามรัสเซีย-ยูเครน ถ้าไปช่วงนี้ รับรองว่าจุกๆแน่นอน)เมื่อทุกอย่างพร้อม 3 4 ขอเชิญพบกับ “รีวิวบ้านรักไทย – ปางอุ๋ง – ปาย - เชียงใหม่ 5 วัน 4 คืน | ข้อมูลครบจบในที่เดียว" กันเลยยยยย!!!!Day 1: บ้านรักไทย เราเดินทางกันตั้งแต่เช้าของวันที่ 16 ก.พ. 2565 ด้วยสายการบิน Thai Smile โดยออกจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 07.25 และใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็มาถึงสนามบินเชียงใหม่ พอมาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเพราะหนทางยังอีกยาวไกล เราก็รีบติดต่อไปหาพี่รถตู้ที่จองคิวไว้หลังจากรถตู้มาถึง เราก็แวะไปทานข้าวเช้ากันก่อน (กองทัพต้องเดินด้วยท้องอ่ะเนอะ) และก็ยิงยาวประมาณ 6-7 ชั่วโมงไปยัง "บ้านรักไทย จ.แม่ฮ่องสอน" ซึ่งเป็นจุดหมายแรกของเราในวันนี้ ปล. เรามีแวะทานข้าวกลางวันระหว่างทางด้วยนะ จำได้ว่าเป็นร้านเล็กๆ ใกล้ๆปั๊ม PTTTips:1. รถตู้ที่เราใช้บริการชื่อพี่วัฒน์ (ไม่แน่ใจสะกดถูกไหม) เบอร์ติดต่อ 093-192-8281 โดยเราแจ้งแค่เที่ยวบิน + เบอร์ติดต่อ ส่วนค่ามัดจำไม่ต้อง ซึ่งบอกได้เต็มปากเลยว่าพี่เขาบริการดีมาก ก.ไก่ ร้อยตัว ทุกคนในทริปประทับใจหมดครับ ถึงขนาดทริปต่อไปที่เราจะไปเชียงราย-น่าน ในช่วงปลายปี ก็ต้องกลับไปใช้บริการพี่เขาอีกครั้ง2. สำหรับคนที่ขับรถมาให้เติมน้ำมันที่ปั๊มแถวๆ ตัวเมืองปายมาเลยนะครับ หรือ ถ้าจำไม่ผิด ถ้าเลยปายมาแล้วก็จะมีปั๊ม PT (นิยมบริการ) อยู่ เพราะข้างบนแถวบ้านรักไทยเหมือนจะไม่มีปั๊มแล้ว อีกทั้งบางคนขึ้นมาทั้งทีอาจจะขับรถไปเที่ยวปางอุ๋งด้วยเลย จะได้ไม่เสียเที่ยว ดังนั้นคนขับต้องคำนวณเชื้อเพลิงดีๆนะหลังจากนั่งรถกันจนก้นด้าน เราก็มาถึงบ้านรักไทยกันแล้วครับ ส่วนถามว่าเส้นทางมันยากลำบากไหม ก็ขอบอกเลยว่า ไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะนั่งหลับมาเกือบทั้งทาง จำได้แค่ตอนเจอโค้งเยอะๆ ยาเมารถที่กินมาก็เหมือนจะเอาไม่ค่อยอยู่ แต่จากที่ได้อ่านรีวิวมา คิดว่าน่าจะไม่ยากเกินความสามารถของคนที่ขับรถได้อยู่แล้วและทางก็ไม่ได้ชันมากนะครับก่อนเข้าชมบรรยากาศบ้านรักไทยก็ขอเข้าสู่ช่วงสาระมีอยู่จริงกันซะหน่อย เผื่อทุกคนจะได้มีเอาไปเล่นเป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้คนในทริปฟังได้บ้านรักไทย ชื่อนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง ไม่ได้เป็นการแตกแบงค์พันเป็นพรรคเล็กพรรคน้อยแต่อย่างใดนะครับ ที่นี่เป็นหมู่บ้านชาวจีนยูนนานที่ในสมัยอดีตเคยเป็นทหารจีนคณะชาติ (กองพล 93) หรือที่เรารู้จักกันว่า ก๊กมินตั๋งหลังจาก Check-in กับทางที่พักเรียบร้อย เราก็เลือกที่จะใช้ชีวิตแบบ Slow life เดินสำรวจหมู่บ้านพร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศในช่วงเย็น สังเกตได้ว่าในหมู่บ้านแห่งนี้ยังคงวัฒนธรรมแบบจีนไว้อย่างเหนียวแน่น มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย และมีบ้านเรือนที่ทำจากดินโอบล้อมไปด้วยทิวทัศน์ของไร่ชาที่ไล่ระดับและทิวเขาที่สวยงาม ซึ่งเหมาะมากกับการหลีกหนีความวุ่นวายเพื่อมาหาความเงียบสงบบ้านรักไทยอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล กว่า 1,776 เมตร เพราะฉะนั้นเลยทำให้พื้นที่แห่งนี้มีอากาศเย็นสบายเกือบทั้งปี ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในเรื่องของชาและขาหมูหมั่นโถว โดยเราก็ได้แวะมาทานอาหารเย็นกันที่ร้านลีไวน์รักไทย ซึ่งน่าจะเป็นร้านที่ดังที่สุดของที่นี่แล้วนอกจากการนั่งจิบชาท่ามกลางอากาศดีๆ แล้ว ที่นี่ยังมีกิจกรรมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การปั่นจักรยานชิลๆรอบหมู่บ้าน หรือจะนั่งเรือล่องไปในอ่างเก็บน้ำกลางหมู่บ้านก็ได้ ซึ่งถ้าอากาศหนาวจัดก็จะมีหมอกคลอสายน้ำให้ได้ชมกัน ซึ่งในวันถัดไป เราวางแพลนว่าจะไปล่องเรือกันครับDay 2: บ้านรักไทย - ปางอุ๋งเนื่องจากเราจองเรือช้า (จองก่อนเดินทางมาถึงประมาณ 15 วัน) ก็เลยได้ขึ้นเรือรอบเร็วสุด 8.20 แต่ด้วยความที่เราอยากตื่นขึ้นมาดูหมอกยามเช้า ก็เลยถือโอกาสก่อนขึ้นเรือเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบไปพลางๆ ซึ่งวันนี้โชคดีที่เราได้เห็นหมอกในยามเช้า ถึงจะไม่มาก เป็นแค่หมอกจางๆและควัน แต่ก็บอกได้เลยว่า ฟินสุดๆเมื่อใกล้ถึงเวลานัด เราก็มา Standby รอขึ้นเรือ ถ้าใครกระหายน้ำก็สามารถไปนั่งจิบชาหรือจะจิบชานมไข่มุกแบบเกร๋ๆได้นะ ส่วนถ้าใครยังมีแรงเหลือก็ตามเก็บภาพบรรยากาศรอบๆได้ มีมุมสวยๆให้ถ่ายเยอะเลย ปล. ดอกไม้สีชมพู คือ ดอกพญาเสือโคร่งที่จะบานพร้อมกันหลายจุดในทะเลสาบและในหมู่บ้านช่วงกลางเดือน ม.ค. เป็นต้นไปถ่ายรูปไปมาบนฝั่งสักพัก ก็ถึงคิวเราขึ้นเรือสักที ซึ่งหลังออกเรือไปได้สักพัก ปรากฏว่ามีเพื่อนในทริปคุกเขาขอแต่งงานบนเรือแบบไม่บอกกันล่วงหน้าจ้า หยิบกล้องมาถ่ายให้แทบไม่ทัน ตื่นเต้นและลกไปหมด ใครสนใจเอาไปเป็นไอเดียขอแต่งงานได้เลยนะเนี่ย Romantic สุดๆเราใช้เวลาล่องเรืออยู่ประมาณ 30 – 40 นาที จากนั้นก็แวะทานเข้าเช้ากันที่ร้านลีไวน์รักไทย ร้านเก่าเจ้าเดิมกับเมื่อวาน และก็ไม่ลืมซื้อของฝากพวกใบชาต่างๆนาๆติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนที่บ้านด้วยTips:สำคัญมากๆ!!!! การนั่งเรือล่องในอ่างเก็บน้ำ ถ้าอยากได้เวลา Golden time เช่น 6.30 – 7.30 ที่เราจะมีโอกาสเห็นหมอกพร้อมกับแสงพระอาทิตย์ที่เพิ่งจะขึ้น (ถ้าเอาให้ชัวร์ประมาณ 7.00 น่าจะเซฟสุด) แนะนำให้จองล่วงหน้าไปก่อนอย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป ไม่ควรไปจองหน้างาน โดยสามารถแอดไลน์ Leewai Boat (093-538-8172) ไปได้เลยครับ โดยเรือ 1 ลำจะนั่งได้สูงสุด 4 คน (ถ้านั่ง 2 คน ราคา 390 / 3 คน 450 บาท / 4 คน 550 บาท) ปล. ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ราคาจะปรับขึ้นตามเงินเฟ้อแล้วหรือป่าวและเนื่องจากที่พักให้ Check out 11.00 เราก็เลยต้องรีบกลับไปเก็บข้าวเก็บของ เพื่อออกเดินทางไปยังจุดหมายถัดไป นั่นก็คือ “ปางอุ๋ง” ที่ซึ่งไม่ไกลจากบ้านรักไทยมาก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีก็ถึงTips:สำหรับคนที่เมารถ แนะนำให้ทานยาแก้เมารถให้พร้อม เพราะถึงแม้ระยะทางจากบ้านรักไทยไปปางอุ๋ง จะอยู่ไม่ห่างกัน แต่บอกเลยว่าจำนวนโค้งก็ไม่ใช่เล่นๆเหมือนกันสำหรับที่พักของ “โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง)” นั้น จะมีให้เลือกหลักๆ 2 แบบ คือ 1. นอนเต็นท์ และ 2. นอนในอาคาร ซึ่งถ้าใครสนใจนอนเต็นท์ เราต้องทำการจองพื้นที่กางเต็นท์ผ่านเว็บไซต์ของอุทยานล่วงหน้า(สามารถจองได้ล่วงหน้าไม่เกิน 60 วัน)https://nps.dnp.go.th/reservation.php?id=144เมื่อเข้าเว็บไซต์มาแล้ว (โหลดช้าหน่อยนะ) ให้เราเลือกพื้นที่กางเต็นท์ > อช.ถ้ำปลา-น้ำตกผาเสื่อ > เลือกโซน 3 โซนหน่วยพิทักษ์ฯ ปางอุ๋ง บริการเต็นท์ ลานกางเต็นท์ > เลือกวันที่จะเข้าใช้บริการ > กดค้นหาพื้นที่หลังจากนั้นก็เลือกลำดับที่ 3 ลานกางเต็นท์ปางอุ๋ง ซึ่งค่าจองพื้นที่ก็จะอยู่ที่ 30 บาทต่อคนเท่านั้นเอง ส่วนตัวเต็นท์เป็นค่าใช้จ่ายอีกส่วนหนึ่งนะครับ ตอนนั้นเราไปจองกันหน้างาน ตกเต็นท์ละประมาณ 500 บาท (รวมชุดเครื่องนอน)Tips:1. สำหรับใครที่นอนเต็นท์ ห้องน้ำและห้องอาบน้ำจะอยู่ติดกับที่จอดรถ ห่างจากจุดกางเต็นท์นิดหน่อย เดินไม่เกิน 5 - 10 นาทีครับ2. สำหรับใครที่เป็นมือใหม่ในการนอนเต็นท์เหมือนพวกเรา นอกจากจะพกไฟฉายส่วนตัวไปกันแล้ว แนะนำให้ซื้อไฟแคมปิ้ง LED ที่มันแขวนในเต็นท์ได้ไปด้วยก็ดีนะครับ ให้แสงสว่างดีมากๆ3. สำหรับใครที่ไม่สะดวกนอนเต็นท์ แถวนั้นก็มีบ้านพักที่ดูเหมือนจะอยู่ในความดูแลของอุทยานให้บริการนะครับ ราคาประมาณ 1,400 บาท ตอนนั้นเราก็ไปเช่าบ้านกันหน้างาน ไว้สำหรับเก็บสัมภาระใหญ่ๆและใช้อาบน้ำ โดยตำแหน่งของบ้านก็จะอยู่ตรงสันเขื่อน ซึ่งใกล้กับจุดให้บริการล่องแพ แต่อยู่ห่างจากจุดกางเต็นท์พอสมควร เดินเท้าน่าจะเหนื่อย ต้องนั่งรถเอาปางอุ๋ง หรือมีชื่อเต็มว่า โครงการพระราชดำริปางตอง 2 คำว่า ปาง แปลว่าที่พักของคนทำงานในป่า ส่วน อุ๋ง หมายถึงที่ลุ่มต่ำ เมื่อรวมกันจึงแปลว่า "ที่พักริมอ่างเก็บน้ำ" ซึ่งที่นี่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "สวิตเซอร์แลนด์แห่งเมืองไทย" กันเลยทีเดียวหลังจากจัดการที่พักและเก็บสัมภาระเรียบร้อย เราก็เดินถ่ายรูปเรื่อยเปื่อยทั้งบริเวณสันเขื่อนและพื้นที่รอบๆ เพราะวันนี้ไม่มีแพลนอะไรอย่างอื่นแล้ว รอกินหมูกระทะตอนเย็นอย่างเดียวเลย ส่วนอาหารกลางวันเราก็ซื้อจากร้านอาหารตามสั่งแถวๆลานกางเต็นท์และก็ขอยืมเสื่อเขามาปูนั่ง กินไปชมบรรยากาศไปเรื่อยเปื่อย ชิวดีเหมือนกันTips:1. แถวจุดกางเต็นท์จะมีร้านค้ามาขายของกันประปราย ดังนั้น ไม่ต้องกลัวอดตายนะ ส่วนหมูกระทะตอนเย็น เราไปนั่งกินกันตรงร้านติดกับที่พักแบบอาคารของอุทยาน2. ช่วงดึกๆ บริเวณสันเขื่อนเห็นว่าเหมาะกับการถ่ายดาว ถ่ายทางช้างเผือก ใครไหวก็ลองดูนะครับDay 3: ปางอุ๋ง - ลุงปาละ coffee house - ร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ่ - ถนนคนเดินเมืองปายเช้านี้เราเด้งตัวออกจากเต็นท์กันแต่เช้าตรู่เพื่อหวังได้เห็นทะเลหมอกที่วาดฝันว่าจะอยู่เบื้องหน้า แต่ปรากฏว่า โชคไม่เข้าข้างเราสักเท่าไหร่ เนื่องจากอาจจะเป็นเพราะสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นหรือลมที่แรงในวันนั้น ก็เลยทำให้เราไม่ได้เห็นหมอกเลยในตอนเช้า น้ำตาจิไหล T_T นี่ถ้าไม่ได้เจอทะเลหมอกแบบบางๆพอกรุ้มกริ่มมาตั้งแต่บ้านรักไทย ทริปนี้คงจะ Fail น่าดูแต่ไม่เห็นหมอกก็ไม่เป็นไร เพราะที่นี่ก็ยังคงมีบรรยากาศที่สวยงามอยู่ในตัว โดยอีก 1 กิจกรรมอีกที่เราแนะนำก็คือ การล่องแพไม้ไผ่ในทะเลสาบปางอุ๋ง ซึ่งแพไม้ไผ่ลำนึงจะนั่งได้ 2 คนรวมกับคนพายเป็น 3 คน โดยมีค่าบริการลำละประมาณ 150 บาท และใช้เวลาในการล่องแพประมาณ 25 - 30 นาทีTips:ช่วงเวลาที่แนะนำสำหรับการล่องแพก็คือ ช่วงพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า ซึ่งน่าจะอยู่ประมาณ 6.30 – 7.30 (ลองเช็คช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นอีกทีก็ได้)ระหว่างที่ล่องแพหรือเดินชมบรรยากาศโดยรอบ ถ้าใครสังเกตดีๆ ที่นี่จะมีหงส์ขาวและดำประจำอยู่ด้วยนะ ได้ยินว่าแต่ก่อนจะมีหงส์ทั้งหมด 4 ตัว ซึ่งเป็นหงส์พระราชทาน ไม่รู้ปัจจุบันเหลืออยู่หรืองอกใหม่เพิ่มมาอีกกี่ตัว แต่เหมือนตอนเราไปจะเห็นแค่หงส์ขาวตัวเดียว เห็นว่าเจ้าหน้าที่จะปล่อยน้องๆออกมาหากินกันคนละช่วง กันน้องมีปากเสียงจิกกัดกันหลังจากที่เราได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศในปางอุ๋ง ทั้งมุมสะพานไม้ที่ยื่นออกไปในอ่างเก็บน้ำและมุมป่าสนที่ขึ้นเรียงรายกันพอหอมปากหอมคอแล้ว เราก็พร้อมเดิมทางต่อไปยังเป้าหมายถัดไป นั่นคือ “เมืองปาย”โดยระหว่างทางก็ได้แวะชิม "กาแฟที่ร้านลุงปาละ coffee house" (ตำนานกาแฟสดแห่งปางอุ๋ง) และแวะทานข้าวกลางวันกันที่ "ร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ่" (ถ้าเห็นว่าคนเยอะและเพื่อนๆกำลังหิวมาก แนะนำให้สั่ง 2 ชามเลยนะครับเพราะปริมาณต่อชามอาจจะไม่เยอะมาก ส่วนรสชาติจัดว่าเด็ด แถมบรรยากาศเบื้องหน้าก็เป็นวิวทิวเขาและธรรมชาติ บอกเลยว่ากินไปฟินไปครับ) สำหรับที่พักของเราในตัวเมืองปายวันนี้คือ "The Quarter pai" ซึ่งหลังจาก Check – in และเก็บของเรียบร้อย เราก็ออกไปหาอาหารเย็นทานกันแถว "ถนนคนเดินเมืองปาย" ซึ่งบรรยากาศรวมๆก็ดูชิวดีครับ แต่ตอนนั้นร้านค้าและนักท่องเที่ยวอาจจะไม่พลุกพล่านเท่าไหร่ เพราะคนน่าจะยังกังวลเรื่องสถานการณ์โควิดอยู่ ถ้าเป็นช่วงนี้ที่เราเปิดประเทศแบบเต็มแล้ว คิดว่านักท่องเที่ยวน่าจะเพิ่มขึ้นมากDay 4: ทะเลหมอกหยุนไหล - ร้านกาแฟเข้าท่า - Elely Cafe’ Mae Ping Bistroวันนี้เราตกลงกันว่าจะลองตื่นเช้ากันดูอีกครั้ง เพื่อหวังจะได้เห็นทะเลหมอกแบบเต็มๆตากับเขาบ้างสักครั้งที่จุดชมวิว “ทะเลหมอกหยุนไหล” โดยเราตื่นนอนกันตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อเดินทางไปยังหมู่บ้านสันติชลก่อน โดยให้พี่รถตู้จอดรออยู่ตรงนี้ หลังจากนั้นเราก็เหมารถกระบะของชาวบ้านประมาณ 300 บาท เพื่อเดินทางขึ้นไปต่อ เพราะทางขึ้นไปด้านบนค่อนข้างชัน ชาวบ้านในพื้นที่จะชำนาญทางมากกว่าคำว่าหยุนไหล เป็นภาษาจีนกลาง หมายถึง แหล่งที่เมฆไหลมารวมกัน ซึ่งเปรียบเสมือนคนจีนยูนานที่อพยพย้ายถิ่นฐานจากเมืองจีนมารวมกันที่นี่ ซึ่งด้านบนของจุดชมทะเลหมอกหยุนไหลนั้นจะมีจุดชมวิวโล่งๆที่สามารถมองเห็นเมืองปายได้ทั้งเมือง แถมอาจจะเห็นทะเลหมอกที่โอบล้อมเมืองปายไว้อีกด้วยพอขึ้นมาถึงปรากฏว่า เราก็ไม่ได้เห็นทะเลหมอกแบบที่คาดหวังไว้อีกแล้ว จะเห็นก็แต่ทะเลหมอกแบบไกลๆสุดลูกหูลูกตา แต่ก็นะ นี่แหละคือสีสันของการเที่ยวแบบธรรมาชาติที่อะไรๆก็เกิดขึ้นได้หลังจากเราสั่งชาร้อน หมั่นโถวและซาลาเปาทอดมานั่งกินย้อมใจ แต่กินได้สักพักปรากฏว่าเหมือนสวรรค์แกล้ง เพราะฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาอย่างหนัก วงแตกเลยจ้า หาที่หลับฝนกันแทบไม่ทัน ซึ่ง ณ ตอนนั้น เราก็ต้องนั่งรอให้ฝนซาลง ก่อนที่จะเรียกให้รถชาวบ้านมารับลงมายังรถตู้ที่จอดอยู่แถวหมู่บ้านสันติชลจริงๆ ถ้าตามแพลน เราตั้งใจจะลงมาถ่ายรูปเล่นกันในหมู่บ้านสันติชลต่อด้วยนะ แต่ด้วยความที่ฝนตกและพื้นมันเละเทะไปหมด เราก็เลยตัดสินใจกลับที่พักเพื่อเตรียมตัวเดินทางเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ดีกว่า ส่วนใครอยากหาร้านกาแฟในเมืองปายทานก่อนเดินทางต่อ ลองแวะไป "ร้านกาแฟเข้าท่า (Khaotha)" ได้นะ กาแฟอร่อย แถมมีน้องหมาเฟรนช์บูลด็อกมาคอยตอนรับด้วยเราใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. ก็มาถึง "Elely Cafe’ Mae Ping Bistro" ซึ่งตั้งอยู่ด้านบนของตัวเมืองเชียงใหม่ และเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราก็เลยแวะทานทั้งข้าวกลางวัน และกาแฟพร้อมกันในที่เดียวกันไปเลยTips:เนื่องจากร้านตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนบุคคล พอใช้ Google map เลยจะไม่เจอถนนเข้ามา ดังนั้น ง่ายสุดคือ ปักหมุดที่ปางช้าง Kanjana Elephant SanctuaryElely Cafe’ Mae Ping Bistro (แอลลี่ คาเฟ่ แม่ปิง บิสโทร) คาเฟ่เล็กๆ ริมแม่น้ำปิง ในอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ คาเฟ่นี้ออกแนวโทนสีขาวแบบเปิดโล่ง ท่ามกลางธรรมชาติล้อมรอบ บรรยากาศดีลมพัดเย็นสบาย บริเวณทุ่งหญ้าโล่งๆ มีการจัด Prop สำหรับถ่ายรูปไว้พร้อมเลยมาถึงไฮไลท์สำคัญที่ทำให้เราไม่ลังเลที่จะแวะมาคาเฟ่นี้ นั่นก็คือ กองทัพน้องหมาดัชชุนที่วิ่งเล่นสนุกสนานทั่วทั้งร้าน ปล. เห็นล่าสุดเหมือนจะมีสมาชิกใหม่เพิ่มมาอีกนะ ซึ่งทางร้านคอมเฟิร์มมาว่า ถึงน้องบางตัวจะเห่าเก่งแต่ไม่กัด ไม่ต้องกรี๊ด ไม่ต้องวิ่งนะส่วนอาหารเลี้ยงน้องก็สามารถซื้อจากทางร้านได้เลย ถุงละ 10 บาทนอกจากน้องหมาที่มาคอยตอนรับลูกค้าแล้ว ที่นี่ก็มีกิจกรรมเลี้ยงอาหารน้องช้างชื่อ “แม่สรและแม่ทองมา”ด้วยนะ ซึ่งตัวน้องเองก็จะมีช่วงเวลาทำการตั้งแต่ 11.00 – 16.00 ปล. กล้วยกับหญ้าราคาน่าจะประมาณตะกร้าละ 60 บาท ณ ตอนนั้นหลังจากอยู่เล่นกับน้องๆจนอิ่มอกอิ่มใจ เราก็เดินทางมุ่งตรงเข้าตัวเมืองเชียงใหม่เพื่อ Check – in เข้าที่พัก และออกไปหาข้าวเย็นกินกันต่อ ซึ่งร้านที่เราทานแล้วรู้สึกว่าประทับใจมากๆ ก็คือ "สุกี้ช้างเผือก" ที่ตลาดช้างเผือก เรียกได้ว่าขนาดกินอิ่มจนกลับโรงแรมแล้วก็ยังมีความคิดที่จะสั่ง Grab มากินต่ออีกกกก ส่วนอีกร้านที่เราแวะไปมาก็คือ "ต๋องเต็มโต๊ะ" ซึ่งเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารเหนือที่ขึ้นชื่อของที่นี่Day 5: MARS.cnx - Khao so-i - ร้านเหน่งหมูกรอบอบโอ่ง - CMU Farm at MAE HIA - Fernpresso at Lakeวันนี้จริงๆเรา List คาเฟ่ที่น่าสนใจไว้เยอะมากกก!!! แต่ด้วยเป็นวันสุดท้ายของทริป อาการเหนื่อยล้าก็เริ่มออก เราเลยใช้เวลาอ้อยอิ่ง ถ่ายรูปเล่นอยู่ในที่พัก “K Maison Boutique Hotel” อยู่นานTips:ตอนที่ไป เราใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกันตอนจอง K Maison Boutique Hotel ได้ ราคาก็ตกอยู่ที่ประมาณ 2,000 กว่าบาท รวมอาหารเช้าแล้วด้วยความขี้เกียจของพวกเรา วันนี้เราเลยเลือกที่จะเดินทางไปคาเฟ่เดียว ซึ่งอยู่ในตัวเมืองเชียงใหม่ นั้นก็คือ “MARS.cnx” คาเฟ่ดาวอังคารที่จำลองสถานที่ด้านในให้เหมือนกับเรากำลังอยู่บนอวกาศ มีทั้งผาหินเสมือนวาร์ปตัวเองไปอยู่ที่ Grand canyon มีทั้งดวงจันทร์ที่ใช้เป็น Prop ถ่ายรูปแบบเกร๋ๆ และก็ยังมีโซนถ่ายรูปอื่นๆอีกมากมายTips:ตอนพวกเราไป ทางร้านมีบริการตู้ถ่ายรูปสติ๊กเกอร์ฟรีด้วนนะ เพียงแค่เอาใบเสร็จไปยื่น ซึ่งถ้าใครไปเป็นกลุ่มหลายคน แนะนำให้แยกใบเสร็จตอนสั่งเครื่องดื่ม เพราะ 1 ใบเสร็จ สามารถนำไปใช้ถ่ายรูปฟรีได้ 1 ครั้ง (3 Shots) ปล. ไม่รู้ตอนนี้เงื่อนไขยังเหมือนเดิมหรือป่าวนะสำหรับอาหารกลางวัน เราแวะไปทานกันที่ร้าน “Khao-So-i” ร้านข้าวซอยสไตล์ญี่ปุ่น ส่วนถ้าใครยังไม่อิ่มแล้วอยากได้ของกินเล่นมาเติมเต็มกระเพาะ เราแนะนำ “ร้านเหน่งหมูกรอบอบโอ่ง” ซึ่งตั้งอยู่แถวตลาดเมืองใหม่ ก่อนกลับเรายังพอมีเวลาเหลือ ก่อนที่จะต้องไปขึ้นเครื่องรอบ 21.20 กลับ กทม. เราก็เลยแวะไป “CMU Farm at MAE HIA” ซึ่งเป็นสวนดอกคอสมอสสีเหลืองอร่ามที่อยู่ในสถานีวิจัยแม่เหียะ คณะเกษตรศาสตร์ มช.โดยเราสามารถเข้าฟรี โดยตรงไปจอดรถใกล้สวนได้เลย ปล. แต่ช่วงที่เราไปคนเยอะมากกกก อาจต้องเลือกมุมถ่ายให้มันหลบๆคนหน่อยนอกจากนี้ ใกล้ๆสวนจะมีคาเฟ่ชื่อ “Fernpresso at Lake” ด้วย เพื่อใครถ่ายรูปเหนื่อยแล้วอยากเข้าไปนั่งพัก ก็จบไปแล้วกับการรีวิว "รีวิวบ้านรักไทย – ปางอุ๋ง – ปาย - เชียงใหม่ 5 วัน 4 คืน | ข้อมูลครบจบในที่เดียว" ครั้งหน้าเราจะพาทุกคนไปเที่ยวที่ไหนกันอีก ก็ฝากติดตามด้วยนะพิกัด:ลีไวน์รักไทย รีสอร์ท: https://goo.gl/maps/QbjcsgWnvyrDZgsh6ปางอุ๋ง: https://goo.gl/maps/76vzFLc5oJsEnKeP7ร้านกาแฟลุงปาละ: https://goo.gl/maps/NvE1i68Kg99V9UfGAก๋วยเตี๋ยวห้อยขาบ้านจ่าโบ่: https://goo.gl/maps/iHXF3HKam7i5AKTZ8ถนนคนเดิมปาย: https://goo.gl/maps/y6Nj3jf27NN4CRHv7ทะเลหมอกหยุนไหล: https://goo.gl/maps/ZoQ1iV8Q49oJzeJv8ร้านกาแฟเข้าท่า: https://goo.gl/maps/Vc5EUM3Fpen9QDgj8Elely Cafe’ แอลลี่ คาเฟ่: https://goo.gl/maps/dHgbKu3GJbG1N3PE6.MARS.cnx: https://goo.gl/maps/2XufKLxAW1JMoKpr9Khao-So-i: https://goo.gl/maps/aJTG9Kur8xDUy9ML7ร้านเหน่งหมูกรอบอบโอ่ง: https://goo.gl/maps/8s4NkvATy9LnNRgdACMU Farm at MAE HIA: https://goo.gl/maps/4zuo61jwVGQg6rEe8Fernpresso at Lake: https://goo.gl/maps/M9RzQyf7vLucDHdBA ภาพถ่ายโดย (By My Side: ผลัดกันถ่าย)ติดตามทริปอื่นๆของพวกเราได้ที่:Facebook: https://www.facebook.com/Bymyside.29/🗺แชร์ที่เที่ยวใหม่ๆ ไม่ว่าจะเที่ยวสายไหนก็มาแวะแชร์กับทรูไอดีคอมมูนิตี้ “เที่ยวไปให้สุด”