สิ่งก่อสร้างในอดีต อย่างนครวัดที่งามสง่าแห่งกัมพูชา ปิรามิดที่ยิ่งใหญ่ แห่งอาณาจักรฟาโรห์ที่อียิปต์ หรือกำแพงที่ยาวสุดลูกหูลูกตา อย่างกำแพงเมืองจีน ทุกอย่างล้วนเป็นประวัติศาสตร์ ในอดีต ที่ทำให้เราได้เรียนรู้วิถีชีวิต และวัฒนธรรมของคนรุ่นก่อน ผู้เขียนเองก็มีความกระหาย ใคร่รู้ในประวัติศาสตร์อยู่พอสมควร ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องเก่า ๆ ก็มักจะไม่พลาดที่จะตามไปชม และครั้งนี้ผู้เขียนจะพาไปชมภาพวาดและสลักบนโขดหิน แห่งดินแดนไวกิ้ง ที่เมืองทานุม (Tanum) ประเทศสวีเดนผู้เขียนเคยได้เห็นภาพวาดบนโขดหินนี้โดยบังเอิญเมื่อครั้งไปเที่ยวเมืองนิวเชิปปิง ที่อยู่ไม่ห่างจากสต๊อคโฮล์มมากนัก ดังนั้นเมื่อได้ยินชื่อ ภาพวาดบนโขดหิน ที่เมืองทานุม (Tanum) ซึ่งเป็นหนึ่งในมรดกโลก เราก็ไม่พลาดที่ตามเข้าไปชมภาพวาดบนโขดหินเหล่านี้ บอกเล่าเรื่องราว วิถีชีวิต และวัฒนธรรม ของคนแถบแสกนดิเนเวียน ในยุคสัมฤทธิ์ (Bronze age) เมื่อประมาณ 2000-3000 ปีก่อน ภาพวาดทั้งหมดพบอยู่กระจัดกระจายบนโขดหิน ซึ่งถูกปกคลุมด้วยต้นมอส และใบไม้ กระจัดกระจายอยู่ทั้งในป่า และในที่โล่งแจ้ง ด้วยภาพวาดบนหินที่มากกว่า 10,000 ภาพ บนพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 45 ตารางกิโลเมตร แต่เพราะวันนั้นฝนตก และเป็นช่วงที่โควิดระบาด ทำให้ผู้เขียนเก็บภาพมาได้แค่บางส่วนเท่านั้นคนยุคนั้นใช้เรือในการเดินทางภาพวาดบนโขดหิน ที่เห็นอยู่แทบทุกแห่ง คือ ภาพเรือ และเกือบทุกภาพจะมีคนนั่งบนเรือ พร้อมกับถืออาวุธในมือ ซึ่งก็น่าจะบ่งบอกถึงการออกไปสู้รบ สิ่งที่ทำให้ผู้เขียนแปลกใจคือคนในสมัยนั้น รู้จักการสร้างและล่องเรือ ทั้ง ๆ ที่ในประวัติศาสตร์ในยุคต่อ ๆ มาช่วงยุคไวกิ้ง ชาวไวกิ้งได้ใช้เรือสำเภาในการเดินทาง ก่อนชาวอังกฤษ หรือชาวฝรั่งเศสซะอีก อันนี้ต้องยกให้ในความคิดสร้างสรรค์ของคนโบราณยุคนั้นจริง ๆอีกอย่างที่ผู้เขียนเองมีความสงสัยอย่างมากว่า ชีวิตส่วนใหญ่ของคนสมัยนั้น มีแต่การสู้รบเลยเหรอ ? ผู้เขียนบังเอิญได้ดูสารคดีเกี่ยวกับชาวไวกิ้งที่พัฒนาต่อเนื่องจากคนยุคสัมฤทธิ์ ว่าชีวิตของชาวไวกิ้งสมัยนั้นต้องต่อสู้กับสภาพอากาศที่เลวร้าย ไม่สามารถเพาะปลูกพืชผักได้ ทำให้ชาวไวกิ้งต้องล่องเรือออกจากแถบสแกนดิเนเวีย โดยบางส่วนได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่รัสเซีย และบางส่วนก็ไปตั้งรกรากอยู่แถบประเทศไอร์แลนด์และอังกฤษ และบางส่วนมีการล่องเรือไปค้าขายที่ บีซานส์ (besans) หรือเมืองอิสตันบูล ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศตุรกีในปัจจุบัน แปลกแต่จริงที่มีภาพเด็ก และผู้หญิงน้อยมากผู้เขียนเดินดูภาพวาดบนโขดหิน อยู่พักใหญ่ ๆ เพื่อจะพยายามมองหาภาพผู้หญิง และเด็ก ซึ่งก็เจออยู่ภาพหนึ่งที่เห็นภาพผู้ชายคนหนึ่ง หนุนหัวบนตักผู้หญิง จากการมโนของผู้เขียน ก็คิดว่าผู้ชายน่าจะได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต แล้วผู้หญิงไปกอดศีรษะของผู้ชายด้วยความโศกเศร้าก่อนจะจบทริปนี้ ผู้เขียนรู้สึกเศร้าใจ พร้อมกับแอบสงสัยลึก ๆ ว่าเหตุใด ภาพผู้หญิงจึงปรากฏอยู่ในภาพวาดบนโขดหินเหล่านั้นน้อยมาก หรือว่าจะเป็นเพราะผู้หญิงในสมัยนั้นไม่มีบทบาท และความสำคัญต่อสังคม เลยถูกลืมไว้ข้างหลัง หรือจะเป็นเพราะ ผู้หญิงจะเป็นคนวาด และสลักรูปภาพเหล่าบนโขดหินซะเอง เมื่อตอนที่คนรักกำลังจะออกท่องในท้องทะเล ?หลังจากเดินดูภาพวาดสลักบนหินเสร็จ ผู้เขียนก็กะว่าจะแวะเข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเกี่ยวกับวิถีชีวิตมนุษย์ยุคสัมฤทธิ์ต่อ เพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับภาพของเด็กและผู้หญิง แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะช่วงโควิด พิพิธภัณฑ์ปิด ก็เลยต้องเก็บคำถามที่ค้างคาในใจไว้ต่อไป และเมื่อหมดโควิด คิดว่าจะไปตามล่าหาความจริงต่อไปภาพปก และภาพทั้งหมด โดยผู้เขียน อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !