หลายคนคงเคยอ่านบทความหรือริวิวเกี่ยวกับการเที่ยวลาวเหนือกันมาเยอะแล้ว ดังนั้นบทความนี้เราจะถือว่าเป็นเรื่องเล่าสู่เพื่อนๆฟังในสไตล์ของเราแล้วกันนะคะ โดยจุดเริ่มต้นของทริปนี้มาจากคุณแม่ของเราเอง เธอเป็นคนชอบเที่ยวแบบลุยๆตั้งแต่ตอนสาวๆแหละ แต่พอมีเราเกิดขึ้นมา คุณแม่ก็มัวแต่เลี้ยงลูกไม่มีเวลาเที่ยวอีกเลย จนในที่สุดพอเราเข้ามหาวิทยาลัย คุณแม่ก็เริ่มวางแผนที่จะเที่ยวอีกครั้ง จึงเกิดเป็นทริปนี้ได้นั่นเอง ก่อนอื่นเราต้องขอแจ้งเพื่อนๆก่อนว่าบทความนี้เราจะขอแยกเป็น 3 part แต่ละ part จะแยกเป็นเรื่องราวของแต่ละเมืองที่เราไป เนื่องจากเนื้อเรื่องของแต่ละเมืองค่อนข้างจะยาวจึงไม่อยากจะรวบรัดตัดตอนเกินไป กลัวเพื่อนๆจะไม่ได้อรรถรสในการอ่าน และคิดว่าในวันเดียวคงเขียนไม่จบครบทุกเมืองแน่ๆ ยังไงก็ฝากติดตามให้ครบทุกตอนด้วยนะคะถ้าเพื่อนๆพร้อมแล้วมาแบกกระเป๋า...หยิบรองเท้าคู่ใจไปเที่ยวลาวเหนือพร้อมกับพวกเราเลยค่า...เตรียมพร้อมสู่การข้ามแดน....เนื่องจากพวกเราแม่ลูกเป็นสาวเจียงฮายจ๊าวว เราจึงเลือกเดินทางข้ามประเทศโดยการข้ามด่านเชียงของ จ.เชียงราย ดังนั้น คืนนี้เราเลยมาอาศัยนอนบ้านญาติในอำเภอเชียงของ เพื่อเตรียมพร้อมที่จะเดินทางในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้ค่ะDay 1เช้าตรู่กลางเดือนธันวาคมอันหนาวเหน็บ สองแม่ลูกก็ต้องตื่นขึ้นมาเพื่ออาบน้ำแต่งตัวและรีบไปเรียกรถตุ๊กๆเพื่อมารับไปด่านเชียงของ(สะพานมิตรภาพ 4 เชียงของ-ห้วยทราย) เมื่อเราผ่านออกไปเรียบร้อยแล้ว จะมีรถ Bus มารอรับพาข้ามสะพานไปยังด่านห้วยทรายเพื่อยื่นพาสปอร์ตและกรอกใบ ตม. ขอเข้าเมือง และเราต้องต่อสองแถวจากเมืองห้วยทรายไปยังท่าเรือเพื่อขึ้นเรือช้าเดินทางไปยังเมืองหลวงพระบาง โดยจะมีการแวะพักที่เมืองปากแบง 1 คืนเรือที่เดินทางไปยังหลวงพระบางนั้นมีอยู่ 2 แบบ คือ 1. เรือเร็ว(ใช้เวลาเดินทาง 7 ชั่วโมง) 2. เรือช้า(ใช้เวลาเดินทาง 2 วัน) เป็นเรือลำใหญ่มีห้องน้ำอยู่ในตัว สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ประมาณ 50-80 คน โดยจะแวะค้างคืนที่เมืองปากแบง แขวงอุดมไซ 1 คืน ตื่นเช้ามาแล้วก็นั่งต่อเพื่อไปยังหลวงพระบาง ซึ่งเราก็เลือกขึ้นเรือช้าแหละ อยากแวะหลายๆที่ 55555 นักเดินทางที่ขึ้นเรือมาพร้อมเราส่วนมากจะเป็นชาวต่างชาติซะส่วนใหญ่ มีตั้งแต่เด็กตัวเล็กจนถึงเลยวัยกลางคนไปนู้นนน ต้องบอกเลยว่าคนที่อยากจะขึ้นเรือช้าเนี่ยต้องเป็นคนลุยๆพอสมควรนะ เพราะอากาศช่วงกลางวันร้อนมาก ถ้าจำไม่ผิด เรือที่เราขึ้นไม่มีทั้งแอร์และพัดลม ก็ต้องใช้กระดาษพัดกันต่อไป บนเรือมีของขายนะจ๊ะ ไม่ต้องกลัวหิว แต่ระวังปวดอึ เพราะห้องน้ำก็เข้ายากพอสมควรหลังจากที่นั่งเมาเรือมาตั้งแต่ช่วงกลางวัน ซักประมาณห้าโมงเย็นเราก็เดินทางมาถึงเมืองปากแบง ซึ่งก็เป็นเมืองเล็กๆไม่ถึงหกโมงเย็นก็ปิดไฟเกือบทุกบ้านละจ้า และเนื่องด้วยช่วงนั้นเป็นหน้าหนาวมันก็จะมืดเร็วๆหน่อย พวกเราจึงต้องรีบไปหาข้าวทานแล้วกลับโรงแรมมาอาบน้ำ และด้วยความเหนื่อยล้าจากการเดินทางทำให้เราทั้งคู่นั้นนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว Day 2หลังจากที่พวกเราหลับสนิทตลอดคืน ก็มาตื่นเอาตอนเช้าในวันที่สองของการเดินทาง พวกเราแม่ลูกรีบอาบน้ำ และลงไปซื้อขนมปังฝรั่งเศสอันเลื่องชื่อกันคนละชุด เพื่อรับประทานเป็นอาหารเช้าและพกไปเผื่อหิวระหว่างทางด้วย แล้วเราก็นั่งหลับกันไปยาวๆ ตื่นมาอีกทีเรือก็ขับผ่านถ้ำปากอูให้เราได้ชมวิวสวยๆและถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ละลึก จากนั้นอีกไม่นานเราก็มาถึงท่าเรือของเมืองหลวงพระบาง ในที่สุดเราก็ได้ลงจากเรือซักทีหลังจากเมาเรือมาสองวันติด แต่จากที่ได้เห็นวิวสวยๆสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงแล้วนั้นก็ถือว่าคุ้มค่ามากค่ะเมื่อขึ้นมาจากท่าเรือ จะมีรถสองแถวคอยบริการรับผู้โดยสารเพื่อเข้าเมือง และรอจนผู้โดยสารเต็มรถจึงจะขับออกจากท่าเรือเข้าไปยังตัวเมืองหลวงพระบางด้วยความเร็วระยะปลอดภัย (ช้าแหละ) แต่ไม่นานเกินรอรถก็มาทิ้งเราลงแถวๆถนนคนเดินแล้วให้เราหาทางเข้าที่พักต่อเอง และแล้วในที่สุดพวกเราก็แบกเป้อันหนักหน่วงมาถึงโรงแรมจนได้พวกเราพักผ่อนอยู่ในห้องได้ไม่นาน อยู่ๆก็ได้ยินเสียง...โคร๊กก คร๊ากกกก...มาเป็นระยะ เราจึงมองหน้ากันและรีบหยิบกระเป๋าใส่ของสำคัญออกจากห้องพักแล้วเดินตรงไปยังถนนคนเดินซึ่งไม่ไกลจากโรงแรมที่เราพักอย่างรวดเร็ว เพราะเสียงนั้นเป็นเสียงแห่งความหิวของเราทั้งคู่นั่นเองเมื่อเดินมาถึงถนนคนเดินหลวงพระบาง ด้วยความหิวของพวกเรานั้นจึงทำให้สะดุดตากับร้านที่มีคำว่า Buffet เป็นพิเศษ โดยร้านนี้จะมีอาหารคล้ายๆร้านขายข้าวแกงของไทย แต่จะให้เราตักเองใส่เท่าไหร่ก็ได้ใน 1 จานโดยคิดราคาแบบเหมาจ่าย และเมื่อตักเสร็จแล้วทางร้านจะบริการอุ่นร้อนโดยการใช้กระทะใบเดียวผัดรวมทุกอย่างที่เราตักคลุกเคล้าจนเข้ากันแล้วนำมาใส่จานเดิมที่เราตักเพื่อเสิร์ฟ ให้เรานำอาหารไปนั่งทานที่โต๊ะริมทางซึ่งทางร้านจัดเตรียมไว้ให้ จากที่บรรยายไปแล้วนั้น เพื่อนๆคิดว่า อาหารจานนี้จะอร่อยมั้ยล่ะคะ??? ถ้าสำหรับเราก็ต้องก็ต้องตอบว่า ‘ไม่’ อยู่แล้วล่ะค่ะ เราพยายามกินอยู่ 3 คำ จากนั้นก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป อาจจะเป็นเพราะเราตักอาหารที่รสชาติมันไม่เข้ากันเลยทำให้อาหารจานนี้ของเรามันไม่อร่อยก็เป็นได้เมื่อออกจากร้าน Buffet เราก็ไปเดินเล่นถนนคนเดินต่อ ที่นี่สินค้าจะคล้ายๆกับคลองถมบ้านเรา ของกินเล่นก็เยอะนะ ทั้งน้ำผลไม้ปั่น(ขายดีมาก) ขนมครกสูตรดั้งเดิม โรตีเจ้าเก่า รวมถึงร้านอาหารและ café ข้างทางมองเข้าไปก็น่าอร่อยหลายร้านเลยค่ะ โดยรวมแล้วจัดว่าใช้ได้เลยทีเดียวจากที่เดินเล่นมาซักพัก เราก็เริ่มรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าจากการเดินทางและเริ่มที่จะง่วง จึงทำให้เราตัดสินใจกลับโรงแรมเพื่อพักผ่อนและเตรียมพร้อมสำหรับวันต่อมาDay 3เต๊งงง.. เต๊งงงง...เต๊งงงงงงง ..... เสียงระฆังดังมาแต่ไกลปลุกให้พวกเราตื่นตั้งแต่รุ่งสาง บ้านนี้เมืองนี้เค้าตื่นเร็วกันจริงๆเลย แต่ไหนๆก็ตื่นเช้าแล้ว พวกเราจึงรีบลุกไปอาบน้ำเพื่อให้ออกไปทันตักบาตรข้าวเหนียว ต่อด้วยไปเดินตลาดเช้าหลวงพระบาง(ตลาดมืด) ดูวิถีชีวิตชาวหลวงพระบางซะหน่อย แต่แล้วการไปตลาดเช้านี้ทำให้เราได้ขนมแสนอร่อยติดไม้ติดมือกลับมาด้วย(เราชอบมากกกกกกกก) มันมีชื่อว่า Rice With Molassee รสชาติเหมือนข้าวทอด มีลักษณะคล้ายการนำข้าวมาปั้นเป็นแท่งยาวประมาณนิ้วโป้งแล้วทาซอสรสหวานเค็มเคลือบด้านนอก อร่อยลื๊มมมมม เลยจ้าจากนั้นพวกเราก็กลับไปทาน Buffet ยามเช้าที่โรงแรม พออิ่มก็เดินไปเช่ารถจักรยานจากร้านที่อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมมากนัก แล้วพวกเราก็เริ่มออกเดินทาง ตาม list ที่วางเอาไว้ทันทีหลวงพระบางเป็นเมืองที่สวยด้วยสถาปัตยกรรมจากทางฝั่งยุโรป สงบเหมาะแก่การใช้ชีวิต slow life และเป็นเมืองที่มีความชิคๆ อยู่ในตัว ปั่นจักรยานไปเจอมุมไหนก็น่าถ่ายรูปไปซะทุกที่ แต่พอสายๆหน่อยก็แดดแรงใช่เล่นเหมือนกันนะคะ เพื่อนๆคนไหนคิดว่าอยากจะปั่นจักรยานแบบเรา ก็แนะนำว่าควรทาครีมกันแดดให้แน่นๆ หมวก mask เสื้อแขนยาวก็ห้ามลืมเด็ดขาดค่ะ ถึงจะไม่กลัวดำ แต่รังสี UV ก็ได้รับกันไปเต็มๆเลยนะคะหลังจากปั่นจักรยานชมเมืองไปได้ซักพักเราก็มาถึงจุดหมายแรกของวันนี้ นั่นก็คือ วัดเชียงทอง เป็นวัดที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบหลวงพระบางแท้ นักท่องเที่ยวส่วนมากชอบมาถ่ายรูปกับผนังของอุโบสถทั้งด้านในและด้านนอก ซึ่งประดับประดาด้วยกระจกสีนำเข้าจากญี่ปุ่นนำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อร้อยเรียงเป็นเรื่องราวทางพระพุธศาสนาและวิถีชีวิตของชาวหลวงพระบางจากวัดเชียงทองปั่นจักรยานต่อไปอีกไม่นานก็มาถึง พระราชวังหลวงพระบาง ที่นี่เขาปิดทุกวันอังคาร แบ่งเวลาให้เข้าชมเป็นช่วงเช้าและช่วงบ่าย เมื่อเดินข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามเยื้องๆกับพระราชวัง จะเป็นที่ตั้งของ พระธาตุพูสี ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาพูสีที่มีความสูงกว่า 150 เมตร ตัวพระธาตุเป็นทรงดอกบัวสี่เหลี่ยมสีทอง บันไดทางขึ้นจะมีต้นลีลาวดีขึ้นอยู่โดยรอบ ทำให้ระหว่างทางเดินขึ้นไม่โดนแดดร้อนจนเกินไป และเมื่อขึ้นไปถึงด้านบนสุดสามารถมองเห็นวิวอันสวยงามของเมืองหลวงพระบางได้ทั่วทั้งเมืองเลยค่ะจากที่ปั่นจักรยานไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆมาตั้งแต่เช้า พอตกบ่าย เราจึงแวะพักตากแอร์หลบร้อนที่ร้าน Joma Bakery Café ร้านกาแฟเจ้าดังในประเทศลาว เป็นร้านที่กำลังมาแรงแต่ราคาไม่แรง เราสั่งโกโก้ร้อน กับ พายแอปเปิ้ล รสชาติดีทั้งขนมและครื่องดื่มเลยค่ะเมื่อพักจนหายเหนื่อยแล้ว เราก็ไปปั่นจักรยานสำรวจเมืองและเดินทางไปยัง Utopia ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของวันนี้Utopia ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘Backpacker Heaven’ เนื่องจากที่นี่เป็นทั้งรีสอร์ท ร้านอาหาร และลานกิจกรรม ซึ่งก็มีกิจกรรมหลากหลายให้เลือกทำเลยค่ะ อาทิเช่น วอลเล่ย์บอลชายหาด(พื้นปูด้วยทรายแต่ไม่ติดทะเลนะ) โยคะ หรือจะจิบเบียร์เย็นๆมองพระอาทิตย์ตก ดื่มด่ำกับบรรยากาศ ฟังเสียงนกร้องสดใสคลอเคล้าสายลมเย็นชื่นใจ ที่นี่เหมาะแก่การพักผ่อนมากๆเลยล่ะค่ะและแล้วเวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงพลบค่ำ ซึ่งก็ถึงเวลากลับเข้าที่พักของเราแล้วแหละ คืนนี้พวกเราแม่ลูกคงไม่ออกไปไหนแล้วค่ะ ปั่นจักรยานเหนื่อยมาทั้งวัน ร่างกายเริ่มต้องการการนอนหลับอย่างแท้จริงเพื่อเตรียมพร้อมที่จะลาจากหลวงพระบางแล้วออกเดินทางไปยังวังเวียงในวันพรุ่งนี้ สำหรับ part 1 : สะบายดี หลวงพระบาง ของเราก็ขอจบเพียงเท่านี้นะคะ ฝากเพื่อนๆติดตาม part 2 : สะบายดี วังเวียง ที่เราจะเขียนตามมาในเร็วๆนี้ด้วยค่ะ หนาวนี้...เพื่อนๆคนไหนอยากไปเที่ยววังเวียง เมืองสวย น้ำใส ไม่ตกเทรนด์ ห้ามพลาดเด็ดขาดเลยจ้าแถม โปรแกรมเที่ยวลาวเหนือใน 1 อาทิตย์ คลิก ....................................................... To Be Continued … Part 2 : สะบายดี วังเวียง .......................................................