เขาคิชฌกูฏ เป็นสถานที่ที่หลาย ๆ คนรู้จักกันดี และในชีวิตนี้อยากไปสักครั้ง ซึ่งทุก ๆ ปีจะเปิดให้ขึ้นเขาแค่ครั้งเดียว โดยจะเปิดเป็นระยะเวลาประมาณ 3 เดือน และในปี 2563 นี้ เขาคิชฌกูฏ ได้เปิดให้พุทธศาสนิกชน นักท่องเที่ยว และประชาชนทั่วไป สามารถขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวงได้ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม - 24 มีนาคม 2563 โดยจะมีการเริ่มบวงสรวง เปิดงาน ในวันที่ 23 มกราคม 2563 เริ่มเวลา 06.00 น. ที่วัดพลวง และจะมีการเริ่มบวงสรวง ปิดงาน ในวันที่ 24 มีนาคม 2563 เริ่มเวลา 07.00 - 12.00 น. นั่นเอง ซึ่งจากกรุงเทพมาเขาคิชฌกูฏใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง อันนี้ไม่นับแวะเข้าปั๊ม รถติดนะคะ ซึ่งเราได้ไปมาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา โดยตรงกับวันมาฆบูชาอีกด้วย ตอนแรกก็คิดลังเลว่าจะไปดีไหม เพราะคนต้องมหาศาลแน่นอน แต่ดูแล้วไปดีกว่า เพราะถ้าไม่ไปครั้งนี้ครั้งหน้าอาจไม่ว่างแล้ว จึงนัดกับพ่อ แม่ ป้า และน้องชายไปกันเลยค่ะ โดยเดินทางวันศุกร์หลังเลิกงาน ภาพจากผู้เขียน เราออกเดินทางกัน 4 ทุ่มค่ะ คนขับคือน้องชาย และมีคนเปลี่ยนมือคือเราและพ่อ ที่เลือกเดินทางช่วงกลางคืนกะว่าถึงเขาประมาณตี 4 ก็ขึ้นเขาได้เลยแบบสบาย ๆ อากาศดีไม่ร้อน ที่สำคัญรถไม่ติด แต่อาจไปติดแถว ๆ เขาคิชฌกูฏ ก็ยังพอได้อยู่ และแล้วเราก็ไปถึงจันทบุรีตอนตี 2 ค่ะ เลยขอแวะปั๊มล้างหน้าสักหน่อย ภาพจากผู้เขียน โฉมหน้าคนขับรถ ถามน้องว่าง่วงไหมนางบอกไม่ง่วงนะ แต่อย่าให้อยู่นิ่ง ๆ วาร์ปแน่นอน 555555 ส่วนเราก็เฉยๆนะ เพราะหลับตลอดทาง ตีตั๋วนอนยาวหลังกระบะคนเดียว ลมเย็นๆ อิอิ ส่วนพ่อ แม่ ป้า นั่งข้างใน ทุกคนก็ตื่นเต็มตาละพร้อมลุย แต่มองไปรอบ ๆ รถเยอะเหมือนกันนะ เอาเป็นว่าออกเดินทางต่อดีกว่า ภาพจากผู้เขียน เป็นตามที่คิดเอาไว้ว่ารถติดแน่ ๆ พอเข้าเขตอำเภอคิชฌกูฏรถก็ติดยาวเลยค่ะ ติดจนขยับไม่ได้เลย ได้แต่นั่งมองชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวที่ขับมอเตอร์ไซต์ผ่านไป ซึ่งทำได้แค่นั้นจริง ๆ และคุยกันว่าจะเจอที่จอดรถไหม ซึ่งรถยังเยอะขนาดนี้แล้วคนจะเยอะขนาดไหน ภาพจากผู้เขียน ขับรถวนไปมาบวกกับรถติดด้วยจนท้อ แต่ก็โชคดีไปเจอที่จอดรถแถวๆบ้านพักที่ทางบ้านพักใจดีให้คนที่ไม่ได้พักจอดได้และเหนือที่สุดท้ายด้วย อยากจะกรี๊ดมากค่ะ จอดรถเสร็จก็เดินมาซื้อบัตรเพื่อขึ้นเขาคิชฌกูฏ เราลืมบอกเลย ก่อนที่จะเจอที่จอดรถเราได้ให้ป้าเป็นตัวแทนเพื่อไปซื้อตั๋วขึ้นรถไปบนเขาแล้ว พอเจอที่จอดรถก็เดินไปหาป้า โดยเราไปขึ้นรถที่วัดพลวง และจะมีอีกที่ที่เราสามารถไปซื้อบัตรขึ้นเขาได้ ถ้าจำไม่ผิดคือจุดวัดกระทิงค่ะ ราคาขึ้นเขาคนละ 100 บาทเท่านั้น (เฉพาะขาขึ้นนะคะ ขาลงเสียอีก 100 / คน ค่ะ) ภาพจากผู้เขียน จุดรอคิวรถ ซึ่งตอนนี้ก็ตี 5 กว่าแล้ว เรายังไม่ได้ไปไหนเลย ซึ่งทำใจตั้งแต่เจอรถติดข้างหน้าแล้วนะ ยิ่งเห็นจำนวนประชากรยิ่งทำใจเพิ่ม ภาพจากผู้เขียน พอถึงคิวเราก็รีบขึ้นรถให้ไวเลยค่ะ กลุ่มของเราขึ้นรถประมาณ 05.55 น. จะ 6 โมงละ และรถหนึ่งคันสามารถบรรทุกคนได้ไม่เกิน 12 คน และไม่บรรทุกเกิน เนื่องจากเวลาขึ้นเขาค่อนข้างอันตราย ภาพจากผู้เขียน ตอนนี้อยู่บนรถแล้วนะคะ ภาพอาจสั่นไหวหน่อย และช่วงนี้มีข่าวไข้หวัด Covid - 19 เลยต้องใสแมส แต่ถึงไม่มีไข้หวัดก็ต้องใส่ค่ะ เพราะฝุ่นเยอะมาก ดินแดงด้วย กระจายเต็มไปหมดค่ะ ภาพจากผู้เขียน วิวตลอดการเดินทางค่ะ ทั้งสวยงามและมันมาก ภาพจากผู้เขียน ถึงด้านหน้าของอุทยาน เราก็เตรียมเงินชำระค่าเข้าเนื่องจาก เขาคิชฌกูฏ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ นั่นเอง โดยค่าเข้าตามนี้ค่ะ * ชาวไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท / เด็ก 10 บาท *ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 100 บาท / เด็ก 50 บาท โดยเราเตรียมเงินให้พร้อม จะมีเจ้าหน้าที่มารับเงินที่รถค่ะ ภาพจากผู้เขียน ชำระเงินครบแล้วออกเดินทางต่อ เรียกได้ว่ามันสุดค่ะ ไม่มีเวลาให้ถ่ายรูปเลย เพราะต้องจับราวเหล็กค่ะ 555555 ใครที่เคยไปแล้วจะเข้าใจดี แต่ถ้าใครยังไม่เคยนั่งแล้วละก็ ต้องลองค่ะ ภาพจากผู้เขียน ถึงแล้วค่ะ ลงจากรถแล้วไหว้จุดแรกก่อนเลย โดยจุดนี้เราสามารถวางดอกไม้และวางธูปเทียนได้ แต่ไม่ให้จุดธูปและเทียนนะคะ ส่วนใครจะขึ้นด้านบนห้ามพกพลาสติกหรือดอกไม้ขึ้นไปเด็ดขาดค่ะ จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลก่อนขึ้น แต่คนเยอะขนาดนี้อาจมีหลงไปบ้างก็ได้นะ ภาพจากผู้เขียน คนมหาศาลดั่งที่คาดหวังไว้ ภาพจากผู้เขียน เดินมาสักพักหากเหนื่อยก็สามารถแวะข้างทางได้ โดยจะมีเก้าอี้ไม้คอบบริการค่ะ และมีตลอดทางเลยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่นั่งค่ะ ภาพจากผู้เขียน พอเดินมาด้านบนสักพักจะมีเจ้าหน้าที่อีกจุดค่ะ โดยจุดนี้ใครที่มีพาสปอร์ตท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ สามารถมาปั๊มตราได้ที่จุดนี้ค่ะ และเราก็เป็นนักเดินทางคนหนึ่งซึ่งไม่พลาดแน่นอนค่ะ ภาพจากผู้เขียนภาพจากผู้เขียนภาพจากผู้เขียน นอกจากจะเป็นจุดที่ปั๊มตราแล้ว ยังมีรายละเอียดต่าง ๆ ของอุทยานอีกด้วย สามารถหาความรู้และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกได้เลย เสร็จแล้วเดินต่อค่ะ ไม่รอแล้วนะ ภาพจากผู้เขียน ยิ่งสูงยิ่งหนาว และก็หายใจไม่ทันค่ะ จึงต้องถอดแมสกันแล้ว แต่ถือว่าโชคดีมากที่วันนี้อากาศดี ไม่ร้อนเลย ขนาดคนเยอะมาก ๆ ยังเย็น ๆ แต่คนจะเยอะขนาดไหนมาดูกันเลยค่ะ ภาพจากผู้เขียนภาพจากผู้เขียน บอกแล้วว่าเยอะ เยอะจนไม่มีที่ดินแล้ว อากาศหายใจก็กำลังจะหมดไป 55555 แต่ถ้าใครเดินไม่ไหวก็สามารถจ้างเสลี่ยงได้ ราคาในวันหยุดจะตกอยู่คนละ 1000 ต่อรอบนะคะ ถ้าวันธรรมดาจะอยู่ที่ 600 ภาพจากผู้เขียนภาพจากผู้เขียน โดยตลอดทางก็จะเจอคนนั่งเสลี่ยงผ่านไปมา ไม่ว่าจะขาขึ้นหรือขาลงก็มีหมด แต่เราอายุแค่นี้เดินต่อสิรอไร ภาพจากผู้เขียน มาถึงจุดแรกก็สามารถทำบุญได้เลย ทั้งปิดทอง ไหว้พระ มีครบค่ะ ภาพจากผู้เขียน ระหว่างทางหากใครเหนื่อยก็มีน้ำดื่มบริการค่ะ และมีน้ำสมุนไพรด้วย แต่เป็นน้ำอะไรนั้นเราจำไม่ได้ละ แต่บอกได้เลยว่ากินแล้วชุ่มคอ ซึ่งเราจัดไป 3 แก้วเลยค่ะ ภาพจากผู้เขียน เดินต่อไปสักพักจะเจอรอยเสื้อใหญ่ ซึ่งจุดนี้เค้าบอกขอเงินได้เงิน ขอทองได้ทอง ขอลูกได้ลูกเลยนะ ภาพจากผู้เขียนภาพจากผู้เขียน ไหว้ขอพรพร้อมรับบรรยากาศดี ๆ ขอพรเสร็จแล้วเดินต่อเลยค่ะไม่รอช้า แต่เดินแบบชิลล์ ๆ นะ เพราะอากาศดีมาก ภาพจากผู้เขียน หมอกหนาแน่น พร้อมผู้คนล้นหลามค่ะ และเราก็มาถึงด้านบนสักที ภาพจากผู้เขียนภาพจากผู้เขียน แต่จุดนี้ยังไม่ใช่ผ้าแดงนะคะ เราต้องเดินต่ออีกสักหน่อยค่ะ แต่ก่อนเดินไปผ้าแดงก็สามารถแวะพักและทำบุญตรงจุดนี้ก่อนได้เลยค่ะ มีหลากจุดตั้งทำสังฆทาน จุดเจิมของที่เป็นที่นิยมอย่างมาก และทำบุญหยอดตู้รวมถึงเข้าไปกราบพระรอยพระพุทธบาทพลวง ภาพจากผู้เขียน ไหว้พระทำบุญจุดนี้เสร็จแล้วก็เตรียมเดินขึ้นไปผ้าแดงเลยค่ะ ระหว่างทางก็จะเจอคนท้อ คนบ่นว่าเมื่อไหร่จะถึง บ่นว่าทำไมไกลจัง ส่วนเราไม่บ่นค่ะ เพราะไม่มีเสียงพูดแล้ว 55555 ภาพจากผู้เขียนภาพจากผู้เขียน ก่อนถึงผ้าแดงก็จะมีจุดให้ไหวเพื่อเปิดทางก่อนค่ะ โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำ ให้เราไหว้และมีคำสวด พร้อมอธิฐานขอได้ 1 ข้อ และนำสิ่งที่เราขอนี้ไปเขียนไว้ที่ผ้าแดงด้านบนค่ะ ภาพจากผู้เขียน ถึงแล้วผ้าแดง โอ๊ยยยยยย ขอบคุณร่างกายที่สู้มาด้วยกัน เหนื่อยมากค่ะ แต่เราก็ทำได้ ต่อสู้กับความท้อและความเหนื่อยจนมาถึงผ้าแดงจนได้ ตอนแรกก็ยืนงงในดงผ้าแดงว่าต้องไปรับผ้าตรงไหน ก็ได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่แว่ว ๆ ว่ารับผ้าแดงด้านในนะคะ เราจึงเดินไปข้างในเพื่อตามล่าหาผ้าแดงค่ะ ภาพจากผู้เขียน จุดนี้เป็นจุดรับผ้าแดงค่ะ มีแค่จุดเดียวนะคะ และจะมีตู้ไว้ทำบุญ แล้วรับผ้าแดงมาเขียนคำขอที่เราขอไว้จากด้านล่างเลยค่ะ ภาพจากผู้เขียน จะมีหลายจุดที่บริการปากกาไว้ให้เขียนที่ผ้าแดง แต่ขอเน้นย้ำนะคะ ต้องเขียนสิ่งที่เราขอไว้ข้างล่างและต้องเป็นข้อเดียวถึงจะสมหวังนะ พอเขียนเสร็จขอเซลฟีสักหน่อยแล้วกันนะ ภาพจากผู้เขียน ถ่ายรูปเสร็จก็หาที่ผูกได้ตามใจชอบเลยค่ะ ผูกไปด้วยอธิฐานไปด้วยนะสำหรับเรา แต่คนอื่นเค้าทำแบบเราหรือไม่นั้น ไม่แน่ใจค่ะ 555 ภาพจากผู้เขียนภาพจากผู้เขียนภาพจากผู้เขียน เรียบร้อยสมความปรารถนาสำหรับการมาถึงผ้าแดง เสร็จแล้วเตรียมเดินลงค่ะ เพราะตอนนี้แดดเริ่มมาแล้ว ก็มัน 11 โมงกว่าแล้วนิ เริ่มร้อนนิดหน่อยแล้ว ดังนั้นรีบลงดีกว่า ไม่งั้นไหม้ค่ะ แต่ก่อนลงขอสักภาพนะ ภาพจากผู้เขียน ตรงนี้เป็นจุดที่มีไว้สำหรับถ่ายรูปค่ะ วิวสวยมากเลยนะขอบอก พอเสร็จแล้วเราก็เดินลงไปข้างล่างเพื่อจองตั๋วลงไปด้านล่างค่ะ ราคาเท่ากับขาขึ้นคือ 100 / คน และรอเจ้าหน้าที่เรียกคิวเหมือนเดิม โดยเราขึ้นที่คิววัดพลวงเหมือนเดิมค่ะ ภาพจากผู้เขียน จบไปแล้วนะคะสำหรับทริปนี้ อิ่มบุญกันมาก ๆ ค่ะ ทั้งได้บุญ สนุก และได้ออกกำลังกายในเวลาเดียวกัน และสำหรับใครที่ยังไม่เคยมาหรือกำลังจะมาแต่ยังหาวันมาไม่ได้ต้องรีบแล้วนะคะ เพราะเปิดให้ขึ้นเขาถึงวันที่ 24 มีนาคม 2563 นี้เท่านั้น อีกไม่กี่วันแล้ว หากใครพลาดปีนี้ต้องรอปีหน้าเลยนะ และถ้าปีหน้าไม่ว่างอีกต้องรอไปอีกปีเลย เพราะเขาคิชฌกูฏ เปิดให้ขึ้นแค่ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น ใครที่อยากทำบุญหรือกำลังจะมาเขาคิชฌกูฏ อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมทั้งกายและใจนะคะ ไม่งั้นขึ้นไม่ถึงผ้าแดงนะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนและขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ...............................