น่าน...เมืองประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ นอกจากธรรมชาติที่สวยงาม อุดมสมบูรณ์แล้ว วัดวาอารามและศิลปวัฒนธรรมก็งดงามไม่แพ้กัน รวมถึงเรื่องราวของความสำคัญทางประวัติศาสตร์ด้วย ในประวัติศาสตร์กล่าวว่าเมืองน่านอยู่ในครอบครองของ อาณาจักรล้านนา ระยะเวลาเกือบ 100 ปี ได้รับเอาศิลปวัฒนธรรมของล้านนา โดยเฉพาะการรับเอาศิลปกรรมทางด้านศาสนา ทำให้ศิลปกรรมแบบล้านนาเข้ามาแทนที่ศิลปกรรมแบบสุโขทัย การไปเที่ยวน่านในครั้งนี้เราเลือกไปเที่ยวในตัวเมืองน่าน สิ่งที่ดึงดูดเราก็คือ “ภาพกระซิบรัก” ที่วัดภูมินทร์ ที่ใครหลายคนต่างมาเยือนกันจากทุกทิศ รวมถึงเราได้ศึกษาวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์เมืองน่านไปในตัวด้วย บริเวณในตัวเมืองมีวัดมากมายและการเดินทางค่อนข้างสะดวก เนื่องจากอยู่ไม่ไกลกันมาก สามารถเลือกนั่งรถรางเพื่อเที่ยวชมเมืองได้ โดยซื้อตั๋วที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตรงข้ามกับวัดภูมินทร์ วันแรกเรายังไม่ได้นั่งรถราง เลือกเดินเท้าชมวัดใกล้ ๆ ก่อน วัดแรกที่ไปคือ “วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร” อยู่ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้น เมื่อปีพ.ศ. 1949 ตามสถาปัตยกรรมทางภาคเหนือ ภายในวัดประดิษฐาน “เจดีย์ช้างค้ำ” เป็นศิลปสมัยสุโขทัยรอบเจดีย์มีช้างปูนปั้นครึ่งตัวประดับอยู่ ซึ่งน่าเสียดายที่ช่วงที่ไปนั้นมีการบูรณะซ่อมแซมเจดีย์ เราจึงไม่ได้เข้าชม จึงเข้าไปในวิหารที่ประดิษฐานพระประธานเป็นปูนปั้นขนาดใหญ่เป็นศิลปะเชียงแสนฝีมือสกุลช่างน่าน ภายในวิหารมีภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณเป็นของดั้งเดิมที่ยังคงสมบูรณ์แบบมาก จากวัดพระธาตุช้างค้ำ เราเดินข้ามถนนมายัง “วัดภูมินทร์” แลนด์มาร์กสำคัญของหลาย ๆคน ที่วัดนี้คนเยอะเป็นพิเศษนอกจากมากราบไหว้ขอพรแล้ว ก็มาชมภาพกระซิบรักบันลือโลกนั่นเอง วัดภูมินทร์โบสถ์และวิหารถูกสร้างเป็นอาคารเดียวกัน วัดภูมินทร์สร้างขึ้นเมื่อราวปี พ.ศ. 2139 จากข้อมูลที่ศึกษามากรมศิลปากรสันนิษฐานว่า เป็นพระอุโบสถจตุรมุขหลังแรกของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 4 องค์ หันพระพักตร์ออกไปทางด้านประตูทั้งสี่ทิศ และภาพวาดต่าง ๆภายในสันนิษฐานกันว่าถูกวาดขึ้น เมื่อ พ.ศ.2410 เป็นช่วงที่มีการบูรณะครั้งใหญ่ หลังจากไหว้พระแล้วก็มาต่อคิวถ่ายรูปกับภาพกระซิบรัก หรือ ปู่ม่านย่าม่าน ผลงานของหนานบัวผัน จิตรกรพื้นถิ่นเชื้อสายไทลื้อ มีความเชื่อกันว่าคู่รักใดมาบอกรักและขอพรต่อหน้าภาพจะทำให้ความยาวนานและมั่นคง ซึ่งมีคำกระซิบรักแบบภาษาเหนือด้วย ว่า “คำฮักน้อง กูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาคะลุม จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป ก็เลยเอาไว้ในอกในใจตัวชายปี้นี้ จักหื้อมันไห้อะฮิอะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา” โรแมนติกมากเลย หลังจากไหว้พระและได้ภาพกันแล้ว ออกมาจากอุโบสถจะพบว่าบริเวณลานหน้าวัดภูมินทร์ หรือที่เรียกกันว่า “กาดข่วงเมืองน่าน” มีการจัดขันโตกวางเรียงเป็นระเบียบ นักท่องเที่ยวสามารถจับจองที่นั่งได้ตามสบาย และสามารถหาของกินได้ที่ตลาดถนนคนเดินวัดภูมินทร์ ซึ่งจะมีวันเสาร์-อาทิตย์ เราจัดการจับจองที่นั่งแล้วจึงไปหาซื้ออาหารโดยเลือกเมนูที่เป็นอาหารพื้นเมืองเพราะยังไม่เคยชิมอาหารเหนือและเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศด้วย ได้ “ยำหมี่เมืองน่านน้ำปู๋” เป็นยำเส้นหมี่ขาวที่ใส่น้ำที่ทำจากปูนาและปรุงรสแล้ว กลิ่นไม่คาวและอร่อย ราคาถูกด้วย 25 บาทเอง “ข้าวซอยไก่” “ยำผักเฮือก” เป็นผักที่มีรสเปรี้ยวและฝาดนำมาทำให้สุกแล้วปรุงรส รสชาติอร่อยแบบแปลก ๆ อธิบายไม่ถูกแต่อยากให้ได้ลิ้มลองกัน 20 บาทเท่านั้น ของถูกและดีมีที่น่าน เช้าอีกวันหลังจากชาร์จพลังกันแล้ว วันนี้เราเลือกนั่งรถรางชมเมือง 30 บาท บนรถจะมีน้อง ๆ นักศึกษาที่มาเป็นไกด์นำเที่ยวให้เรา ใส่ชุดพื้นเมืองด้วยน่ารักมาก เริ่มที่ “วัดสวนตาล” ไหว้พระเจ้าทองทิพย์ พระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัยองค์ใหญ่ มีเจดีย์ยอดปรางค์ที่แต่เดิมเป็นทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แบบสุโขทัย รถรางแล่นไปเรื่อย ๆ ผ่านหมู่บ้าน ถนนหนทาง ทำให้เห็นว่าที่เมืองน่านนี้สายไฟถูกนำลงใต้ดินแทบทั้งหมด ทำให้ทัศนียภาพที่สวยงามไม่ถูกบดบังจากสายไฟที่พันกันโยงไปมา มาถึง “โฮงเจ้าฟองคำ” สร้างจากไม้สักแบบศิลปะล้านนา บ้านเก่าอายุเกือบ 200 ปี ด้านบนเป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นจัดแสดงวิถีชีวิตในอดีตและของโบราณ เช่น เครื่องเงิน ผ้าทอ และตามห้องต่าง ๆ ก็จัดแสดงเหมือนวิถีความเป็นอยู่ของคนในสมัยนั้นเลย ค่าเข้า20 บาท มีการสาธิตการทอผ้าให้ชมด้วย หลังจากลงจากรถรางเราเดินไปต่อ “วัดมิ่งเมือง” เป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองน่านอุโบสถเป็นลายปูนปั้น แกะสลักลวดลายสวยงาม จากวัดมิ่งเมืองเดินต่อไปอีกนิดที่ “วัดศรีพันต้น” โบสถ์สีทอง มีจิตรกรรมปูนปั้นที่สวยงามโดยเฉพาะพญานาคเจ็ดเศียร ภายในวิหารได้มีการเขียนภาพลายเส้นประวัติของพระพุทธเจ้า และประวัติการกำเนิดเมืองน่าน ก่อนกลับเราไปที่ “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน” มีห้องจัดแสดงสิ่งของสำคัญมากมาย ซึ่งสิ่งที่เด่นที่สุดคือ “งาช้างดำ” สมบัติล้ำค่าคู่บ้านคู่เมืองน่านมาแต่โบราณ ลักษณะเป็นงาปลี สีออกน้ำตาลเข้ม มีจารึกอักษรธรรมล้านนา ภาษาไทยว่า " กิ่งนี้หนักหนึ่งหมื่นห้าพัน " หรือประมาณ 18 กิโลกรัม ด้านนอกพิพิธภัณฑ์มี “วัดน้อย” เป็นวัดที่เล็กที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้ยังจุดที่ผู้คนมักมาถ่ายรูปกันคือ “ซุ้มลีลาวดี” ซึ่งตอนที่เราไปไม่ค่อยมีดอกลีลาวดีให้ชมมากนัก อาจไม่ใช่ช่วงที่ออกดอกก็เป็นได้ หลังจากเที่ยวชมจนอิ่มหนำแล้ว เราก็ไปรอรถกลับกรุงเทพที่ บขส. ซึ่งยังมีเวลาก่อนรถมาเทียบท่า จึงเดินไปชม “กำแพงเมืองน่าน” ที่อยู่ห่างจาก บขส. น่าน ประมาณ 1-2 กิโลเมตร เป็นกำแพงที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากเช่นกำแพงอื่น ๆ เป็นตัวบ่งชี้อาณาเขต และป้องกันข้าศึก อีกทั้งยังเป็นหลักฐานทางประวัติศาศตร์ที่สำคัญที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของบ้านเมืองและแนวคิดของคนในสมัยก่อนด้วย...เที่ยวอย่างสนุกและมีคุณค่า...ได้ความสุข ได้ความรู้และช่วยกันอนุรักษ์สิ่งที่อดีตส่งต่อมาให้เราในปัจจุบันและส่งต่อไปยังรุ่นต่อ ๆ ไปในอนาคตด้วย... ภาพถ่ายทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน ติดตามการเดินทางได้ที่ เพจ Times Travel เธอ ฉัน เรา เที่ยว