สวรรค์กลางทะเลทราย ขึ้นชื่อว่าทะเลทราย หลายคนคงจะจิตนาการถึงภาพที่มีพื้นทรายอันกว้างใหญ่จะสุดลูกหูลูกตา มีอูฐจำนวนมากแล้วเมื่อมองไปทางไหนก็เห็นเพียงทราย ทราย ทรายและก็ทราย แถบจะหาแหล่งน้ำและต้นไม้ไม่เจอเลย แต่เรากำลังจะบอกว่า “ สวรรค์ในทะเลทราย” นั้นมีอยู่จริง และเป็นสถานที่ที่ด้วยมากๆ เป็นการเนรมิตสร้างสรรค์ด้วยฝีมือมนุษย์ เหมือนกันว่าเรากำลังเล่นเกมส์สร้างเมืองและเนรมิตเมืองของตัวเองขึ้นมา อย่างไงอย่างนั้นล่ะ ลองจินตนาการตามนะ… สวรรค์ในทะเลทรายแห่งนั้น เป็นดินแดนที่สวยงาม มีตึกสูงระฟ้าทั่วทั้งเมือง มีบ้านเรือนที่สวยงานและมีเอกลักษณ์ มีแหล่งท่องเที่ยวที่เกิดการเนรมิตจากผลงานมนุษย์ มีสวยดอกไม้สวยๆกลางเมืองและเป็นสวนดอกกลางทะเลทรายไม้ที่มีพันธ์ไม้เยอะที่สุดในโลก มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาชมความอลังการของตึกสูงระฟ้าที่มีสถิติที่เรียกได้ว่า “เป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก” มีห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีขนาดเท่ากับสนามฟุตบอลถึง 50สนามมารวมกัน และยังมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย แถมยังเป็นแหล่งรวมของ sport car ชั้นนำระดับโลกอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็น “ที่สุดของที่สุด” ของสวรรค์กลางทะเลทรายแห่งนี้ อ่านมาตั้งนานแล้ว บางคนยังนึกภาพไม่ออกว่ามันเป็นอย่างไร แต่บางคนก็ยังคุ้นๆอยู่ แต่บางคนอาจจะรู้แล้วว่า เจ้าสวรรค์กลางทะเลทรายที่ว่านั้นมันคืออะไร มาดูกัน สวรรค์กลางทะเลทรายที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น มันคือ “ มหานครดูไบ” ที่เป็นเมืองเล็กๆ ตั้งอยู่ในคาบสมุทรอาหรับในประเทศสหัฐอาหรับเอมิเรต์ และเมืองดูไบแห่งนี้ มี้ตึกสูงระฟ้าไปทั่วทั้งเมือง มีห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในชื่อ Dubai mall หรือ mall of Emirates ซึ่งมีพื้นที่เทียบเท่าสนามฟุตบอลมารวมกันถึง 50 สนามเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีตึกที่สูงที่สุดในโลกที่เรียกว่า burj khalifa ที่มีความสูง 818 เมตร นับว่าเป็นตึกี่สูงที่สุดในโลก ที่มนุษย์ได้สร้างมา และเมืองดูไบยังมีตลาดทองที่สุดอลังการอีกด้วย เมืองนี้ยังมีสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจอีกหลายๆอย่าง จากประสบการณ์ตรง เราเคยไปเยี่ยนเมืองดูไบ 2 ครั้ง ครั้งแรกแค่ไปเที่ยว 3-4 วัน และเป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากๆ เพราะได้เจอผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งที่เข้ามาเที่ยว และเข้ามาทำงานที่นั้น และยังตื่นเต้นที่ได้เห็นตึกสูงๆทั้งเมือง ห้างที่ใหญ่ที่สุดในโลก สวนดอกไม้กลางทะเลทรายที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง และสิ่งต่างๆอีกมากมาย ครั้งที่ 2 เราไปทำงานที่นั่นเป็นเวลา 1 ปี และได้เข้าใจอะไรมากขึ้น อย่างเช่น จะเห็นได้ว่าเราแทบจะหาเจ้าถิ่นไม่เจอเลย เพราะคนท้องถิ่นที่ดูไบมักจะเปิดกิจการส่วนตัว หรือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีเงินเดือนสูงๆ หรือไม่ก็ทำงานในหน่วยงานราชการหรือบริษัทใหญ่ที่มีตำแหน่งสูง แต่ผู้คนส่วนมากที่เราพบเห็น ส่วนหนึ่งก็เป็นนักท่องเที่ยวที่มาจากต่างชาติ ส่วนหนึ่งก็เป็นคนที่เข้ามาทำงานที่นั้น และส่วนมากเราจะเห็นกลุ่มคนอินเดีย ปากีสถาน อียิปต์ที่เป็นมิตรมากๆ และ ฟิลิปปินส์ เยอะมากๆ โดยที่ครั้งแรก เราเองก็โดนทักว่า คุณมาจากฟิลิปปินส์ใช่หรือไม่ เพราะคนไทยกับคนฟิลิปปินส์มีลักษณะที่คล้ายๆกัน แต่เราตอบว่า เรามาจากประเทศไทย แต่ก็มีบางคนที่ไม่รู้จักว่าประเทศไทยตั้งอยู่ตรงไหนของโลก แต่บ้างก็บอกว่า เมืองไทยสวยงามและรู้สึกดีที่ได้พบคนไทย แต่ทุกอย่างที่นั่นแพงทุกอย่าง ยกเว้นค่าแรง แต่ประชาชนมีกำลังซื้อที่สูง แต่อ๊ะ… อย่าเพิ่งคิดไกล อันนี้เรื่องจริงที่ว่าแพงทุกอย่างนั้น คุณต้องเข้าใจก่อนว่า เมืองดูไบตั้งอยู่กลางทะเลทรายอันร้อนอบอ้าว และพวกเข้าจะสามารถปลูกอะไรได้ละ นอกจากการนำเข้า แต่ในการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศนั้น ภาษีที่เมืองนั้นก็ไม่ได้โหดอย่างที่คิดนะ ตัวอย่างเช่น เงินเดือน 3000 ดีแรมป์ ก็ประมาณ 26000-28000บาท แต่ราคาที่พักที่ดูไบมีราคาค่อนข้างสูง เพราะเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยว ราคาอพาร์ทเม้นก็ราวๆ 2000-10000 ดีแรมป์ ซึ่งถ้าคุณมีเงินเดือนเพียง สามพันดีแรมป์ นั้นเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะจ่ายค่าห้องที่มีราคาสูงแบบนั้น และเงินเดือนคุณจะเหลือเท่าไหร่ละ….. โอ้ว แต่… มันจะมีห้องที่เรียกว่า sharing room ซึ่งเป็นห้องพักที่อยู่กันหลายๆคน หรืออาจจะเป็นไปได้ที่คุณได้รับห้องพักจากบริษัท และนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทจะ support คุณในส่วนนี้หรือไม่ ราคารถยนต์ที่นั่นก็ยังถูกกว่าบ้านเราเท่าตัวเพราะภาษีไม่แพง ราคาของใช้ก็ไม่ได้แพงมาก ถ้าคิดเป็นเงินดีแรมป์ ทั้งนี้ หากคุณมีโอกาสได้ไปเยือนเมืองดูไบ ประเทศสหัฐอาหรับเอมิเรต์ คุณจะได้เห็นสิ่งต่างๆที่น่าทึ่ง และรู้สึกว่าราวกับอยู่บนสวรรค์ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่นั้นล้วนมีความอลังการงานสร้างมากๆ แม้แต่ป้ายรถเมล์ยังติดแอร์ และยังมีความอลังการอีกหลายๆอย่างที่รอให้คุณไปสัมผัส ณ สวรรค์แห่งนั้น ที่ตั้งอยู่กลางทะเลทราย ที่ผู้คนเรียกว่า “ มหานครดูไบ ประเทศสหัฐอาหรับเอมิเรต์” เครดิตเรื่อง petryport เครดิตเรื่อง petryport เขียนจากประสบการณ์จริง