จากที่เรารีวิวการเดินทางด้วยสายการบิน Jet Airways สายการบินของอินเดียก่อนหน้านี้ ก็ถึงเวลาเล่าเหตุการณ์อมยิ้มแก้มปริตั้งแต่ก้าวเท้าเหยียบเมืองมุมไบ ไม่รู้เป็นอะไรรู้สึกปริ่มใจ สงสัยอิ่มจากการชมความหล่อเหลาของสจ๊วตบนเครื่อง พอเราลงจากเครื่องก็พุ่งตรงไปที่ด่าน ตม. และผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ด้วยสกิลภาษาที่งงงวยกับตัวเอง สารภาพว่าฟังออกบ้างไม่ออกบ้าง ยิ้มหวานให้ตม.ตลอดค่ะ เจ้าหน้าที่ตม. พอรู้ว่ามาจากไทยแลนด์แดนสยามก็มีความเป็นกันเองยิ้มแย้มให้เราแบบโอ้วววว ตอนแรกหน้าเข้มหยวดยาว แถมขมวดคิ้วแทบจะผูกกันเลยจ๊ะ เราแนะนำนิดนึงนะคะ พอผ่านด่านตม.ตามด้วยรับกระเป๋าเราก็รีบติดต่อเพื่อนที่นัดกันไว้ด้านนอก เพื่อนเรายืนรอด้านนอกหน้าประตู นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกันตัวเป็น ๆ เพราะที่ผ่านมา 10 ปี คุยกันทางออนไลน์ เปิดกล้องคุยกันบ้าง แชตกันบ้าง นางมาถึงก็มอบ Welcome Drink ให้เราเลยค่ะ เป็นน้ำอัดลมของอินเดีย รสมะนาวค่ะ ด้วยความติดน้ำเย็นเราเลยยังไม่เปิดกิน เพื่อนเราก็ย้ำว่ากินเลยเป็นน้ำที่เอามาต้อนรับเรานะ เลยกินไปสองอึก อุ๊ยไม่เย็นแต่มีความซ่าและชื่นใจค่ะ ยิ้มระดับนึงแล้วค่ะ หลังจากนั้นก็นั่งรถที่จองผ่านแอปพลิเคชั่น Ola ค่ะ ที่อินเดียมี Ola กับ Uber แต่สำหรับเรา เราว่า Uber ใช้สะดวกกว่า พอขึ้นรถได้ก็พุ่งตรงไปโรงแรมเลยค่ะ เพราะไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อคืนหอมหวลมากเลยเชียว เราพักที่โรงแรม CITIZEN HOTEL อยู่ที่ JUHU BEACH ค่ะ เป็นโรงแรมติดชายทะเล JUHU ราคาห้องอยู่ที่ราวๆ 2100 รวมอาหารเช้าค่ะ ห้องโอเคค่ะไม่ใหญ่มากแต่ดูปลอดภัยจะเอาใครขึ้นมาบนห้องเจ้าหน้าที่จะขอบัตรประจำตัวถ่ายไว้ไม่ได้ขึ้นมากันง่ายๆนะคะ เราไปถึงโรงแรมตอน 11 โมงแน่นอนค่ะยังเช็คอินไม่ได้เลยฝากกระเป๋าแล้วไปเดินเล่นที่ชายหาด ชายหาดที่นี่อากาศพอประมาณที่ไม่บอกว่าอากาศดีเพราะมันไม่ถึงกับดีไงค่ะ คนละอารมณ์กับชายหาดบ้านเรา ตรงชายหาดไม่มีเตียงผ้าใบมองไปแล้วสบายตา เท่าที่สังเกตุเราเจอแต่คนอินเดียค่ะไม่เห็นนักท่องเที่ยว จะมีคนลงไปเดินริม ๆ น้ำแต่ไม่ได้ไปดำผุดดำว่ายเหมือนทะเลที่ไทย มีคนก่อกองทรายสไตล์อินเดีย ปูผ้านั่งรับลมกัน จะมีคนเข้ามาถามให้เราถ่ายรูปเป็นระยะค่ะ 100 - 200 รูปี แล้วจะได้รูปเป็นใบ ๆ ล้างออกมาให้แต่เราไม่ได้ถ่ายค่ะ แดดร้อนใช้ได้แต่เราสตรองมาแล้วเพราะไม่ต่างไปจากประเทศไทยค่ะ ความร้อนระอุพอกันแต่ลมทะเลมีความเย็นปนมาค่ะ เราก็ไม่เข้าใจทำไมมีไอเย็นเพราะตอนที่ไปเป็นช่วงต้นเดือนมีนาคม 2562 แล้วความหิวก็บังเกิดกับชะนีตัวกลม อาหารบนเครื่องบินมันย่อยไปตั้งแต่ตอนเดินออกมาจากสนามบินแล้วค่ะ เพื่อนเราเลยพาไปร้านขายของกินตรงชายหาด ไม่เชิงเป็นร้านอาหารค่ะอารมณ์แบบซุ้มอาหารไม่ได้มีที่นั่งกินจริงจังแต่ละร้านจะมีบาร์ยื่นออกมาหน้าร้านเพื่อให้วางอาหารแล้วยืนกิน บางคนก็ซื้อแล้วไปนั่งรอบๆชายหาด เมนูแรกที่ตกถึงท้องเราก็คือ PANI PURI เป็นแป้งทอดด้านในกลวง ๆ คนขายจะเจาะรูให้ตอนที่เสริฟเรา ก่อนเสริฟจะเอามันฝรั่งที่ปรุงรสเรียบร้อยใส่เข้าไป น้ำที่ใส่มีสองแบบค่ะ แบบหวานกับเผ็ด อันแรกที่เรากินเป็นแบบเผ็ด เผ็ดจริง ๆ ค่ะ จี๊ดมากแต่คนละอารมณ์กับเผ็ดแบบอาหารไทยนะคะของไทยจะเผ็ดร้อนแต่อันนี้เผ็ดอย่างเดียวไม่ร้อนด้านใน อารมณ์เผ็ดจากเครื่องเทศ งงมั้ยคะ เราก็งงค่ะ ฮ่า ๆ เอาเป็นว่าเผ็ดเนอะ ส่วนแบบหวานหวานมากค่ะหวานนำทุกสิ่ง โดยรวมอร่อยค่ะ 20 รูปีเท่านั้นได้มา 5 ลูก กินสลับกับเพื่อนแต่ก็นะบอกเลยไม่อิ่มค่ะ ไม่ได้เสี้ยวของกระเพาะอาหารเราเลยค่ะ (ลืมบอกไปว่าเพื่อนเราเป็นมังสวิรัติค่ะ แม่เจ้าลืมคิดไปเลยเราเป็นคนติดเนื้อสัตว์มากค่ะ ชอบกินเนื้อสัตว์มาก ชาบู หมูกระทะงี้) และขอโทษด้วยค่ะที่ไม่ได้ถ่ายภาพนิ่งไว้ พอถึงเวลาบ่ายโมงทางโรงแรมโทรตามที่เบอร์เพื่อนเราค่ะว่าห้องว่างแล้ว ก็ทำการเช็คอิน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า สบายตัวไปเลยค่ะ และแล้วก็ถึงเวลาออกเดินทางที่แรกคือ Gateway of India ค่ะ อยู่ใกล้กับ Taj Hotel เพื่อนเราทำหน้าที่เจ้าบ้านพานั่งรถไฟไปแล้วต่อแท็กซี่ ต่อคิวแล้วเข้าไปไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ ตอนเข้าจะมีการแยกแถวชาย - หญิง ตรวจกระเป๋าแล้วเข้าไปได้เลยค่ะ ที่เราเห็นก็จะเป็นคนอินเดียค่ะ ผู้คนยิ้มแย้ม อารมณ์ดีทั้งที่แดดแรงมากแต่มีรอยยิ้มเต็มไปหมดเลยค่ะ จากนั้นเราก็ไปวัดพระแม่ลักษมี (Shree Mahalakshmi Temple) เดินทางโดยการนั่งรถแท็กซี่ค่ะ ที่มุมไบแท็กซี่และสามล้อจะมีมิเตอร์ค่ะไม่ต้องห่วง ราคาไม่แรงแต่แท็กซี่จะไม่เปิดแอร์ถ้าเราไม่ร้องขอ บางคันเปิดให้ไม่เรียกเงินเพิ่มบางคันขอเพิ่ม 20 รูปีถ้าเปิด (ราคาแล้วแต่ตามตกลงนะคะ) แต่ค่าโดยสารจ่ายจริงตามมิเตอร์ค่ะ พอถึงวัดพระแม่ลักษมีเราก็เข้าไปไหว้ในโบสถ์เค้าไม่ให้ถ่ายภาพค่ะ ก่อนเข้าก็จะมีตรวจกระเป๋า เอาดอกไม้ไปวางด้านในโบสถ์ตามธรรมเนียม พอเราเดินมาด้านหลังของโบสถ์ก็เห็นคนเอาเหรียญไปแปะตรงกำแพงกันเยอะเลยค่ะ แปะเหรียญอธิษฐานเสี่ยงทาย ถ้าสมหวังตามคำขอเหรียญจะไม่หล่นลงมาค่ะ ส่วนเราเหรียญแทบจะตกลงมาทันทีที่แปะเข้าไปเลยค่ะ ฮ่า ๆ หลังจากนั้นเพื่อนเรามีสายด่วนโทรตาม นางเลยส่งเราให้ขึ้นแท็กซี่กลับโรงแรม ตั้งแต่ที่เราเล่ามาเรายังไม่ได้กินอะไรเลยใช่มั้ยคะ ใช่เลยค่ะที่บอกว่าหิว มีแค่ PANI PURI สองอันที่อยู่ในท้องเรา เราลืมความหิวเพราะมัวแต่สนใจสิ่งแวดล้อม คนรอบข้าง คนอินเดียต้อนรับเราดีมากค่ะ ยิ้มแย้มให้เราตลอด ยิ่งพอรู้ว่ามาจากเมืองไทย เราจะได้รอยยิ้มเพิ่มไปอีกระดับค่ะ พอกลับถึงโรงแรมเรายังไม่เข้าห้องพักค่ะตรงไปที่ห้องอาหารทันที เพิ่งหิวสินะ ในใจแบบ เนื้อสัตว์ น้ำเย็น เนื้อสัตว์ น้ำเย็น ลอยขึ้นมาเลยค่ะ สิ่งที่เราได้มาคือ ข้าวผัดไก่ค่ะ ที่โรงแรมบอกเราว่ามีห้องอาหารจีนและอินเดีย พอเราเปิดเมนูอาหารจีนเราเอาเมนูง่าย ๆ เพราะหิวมากแล้วค่ะ เลยสั่งข้าวผัด พนักงานถามเราว่า เอาซอสอะไร งงไปอีกค่ะ เลยบอกอะไรก็ได้เอามาได้เลย แล้วหน้าตาก็เป็นแบบในรูปค่ะ ของจริงมันเหมือนอ้วกหมามากเลยค่ะ หน้าตามันแบบข้าวผัดอิหยังเนี่ย แต่เพราะความหิวเราไม่แคร์หน้าตา เชื่อมั้ยคะ รสชาติดีมากซอสแดง ๆ ไม่ใช่ซอสมะเขือเทศนะคะ เป็นซอสเผ็ดใส่เครื่องเทศแบบฉบับอินเดียค่ะ ส่วนอีกฝั่งเป็นข้าวผัดเหมือนที่ไทยทั่ว ๆ ไปค่ะ โดยรวมแล้วอร่อยมากค่ะ ตบท้ายด้วยน้ำแตงโมปั่นสด ๆ ไม่มีการผสมน้ำตาลใด ๆ และไม่เย็นค่ะ เราเฟลนิดหน่อยเพราะหวังว่าจะมาแบบเย็น ๆ เหมือนเมืองไทย แต่พอกินเข้าไป ดี๊ดีค่ะ มีความสดชื่นของแตงโม เอาเป็นว่าวันนี้เรารอดค่ะ แต่ในใจลึก ๆ คิดถึงอาหารไทยเหลือเกิน รีวิวถัดไปจะพาไปร้านอาหารไทยในมุมไบและวัดพระพิฆเนศ ( Siddhivinayak Temple) ที่ถือเป็นวัดต้นกำเนิดของพระพิฆเนศเลยค่ะ หลังจากอิ่มสบายพุงเราก็เข้านอนสบายใจ ^^ ภาพประกอบ : โดยผู้เขียน