เราจะพาไปรู้จักกับปราสาทในประเทศเยอรมนีกันค่ะ แบบแรกเรียกในภาษาเยอรมันว่า Schloss จะเน้นความหรูหรา อลังการ ดูโรแมนติค ๆ เหมือนในเทพนิยายสมัยใหม่ วัตถุประสงค์ของสร้างปราสาทแบบนี้ก็เพื่อใช้เป็นที่ประทับของกษัตริย์, ผู้ครองเมือง รวมถึงสร้างขึ้นโดยขุนนางด้วย โดยในยุคที่มีการสร้างปราสาทเหล่านี้บ้านเมืองอยู่ในช่วงที่ไม่มีสงคราม จึงไม่จำเป็นต้องสร้างป้อมปราการ หรือกำแพงล้อมรอบตัวปราสาท แต่สร้างเพื่อแสดงให้เห็นถึงฐานะที่มั่งคั่งมั่นคง ตัวอย่างของปราสาทแบบนี้ที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ ปราสาทลินเดอร์ฮอฟ Schloss Linderhof ตั้งอยู่ในแคว้นบาวาเรีย สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1878 ในสไตล์นีโอ-ร้อคโคโค่ เป็นปราสาทขนาดเล็ก ที่พระเจ้าลุดวิคที่ 2 ได้สร้างขึ้นมาโดยได้รับแรงบันดาลใจมาพระราชวังแวร์ซายส์ ในประเทศฝรั่งเศส สวนของพระราชวังตกแต่งอย่างอลังการ รวมทั้งนำพุด้านหน้า, ศาลา, ถ้ำซึ่งภายในมีทะเลสาบและเรือที่พระองค์ไว้พายเล่น ปราสาทโฮเอินชวังเกา (Schloss Hohenschwangau) อีกหนึ่งปราสาทในแคว้นบาวาเรีย เป็นปราสาทที่พระเจ้าลุดวิคที่ 2 เคยประทับเมื่อยังทรงพระเยาว์ และทรงประทับอยู่ที่ปราสาทนี้เมื่อพระองค์ทรงเริ่มสร้างปราสาทนอยชวานชไตน์ บนเขาซึ่งไม่ไกลจากที่ตั้งของปราสาทโฮเอินชวังเกา ปราสาทน็อยชวานชไตน์ (Schloss Neuschwanstein) เป็นปราสาทตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์ แคว้นบาวาเรีย อีกหนึ่งปราสาทที่สร้างโดยพระเจ้าลุดวิคที่ 2 แห่งบาวาเรีย ในช่วง ค.ศ. 1845–1886 เพื่อเป็นที่ประทับของพระองค์โดยสร้างตามแบบละครโอเปร่าเรื่องเกี่ยวกับอัศวินหงส์ขาว ที่ประพันธ์ขึ้นโดย ริชาร์ด วากเนอร์ (Richard Wagner) นักประพันธ์เพลงชาวเยอรมันที่พระองค์ทรงชื่นชอบ เป็นปราสาทที่นักท่องเที่ยวรู้จักดีที่สุด และมีผู้มาเยี่ยมชมปีละ 1.3 ล้านคน แบบที่สอง คือ Burg เป็นปราสาทในแบบยุคกลางที่สร้างขึ้นเพื่อไว้ใช้ในการป้องกัน หรือเป็นป้อมปราการ ลักษณะสำคัญ ๆ ของปราสาทแบบนี้คือ ต้องมีกำแพงที่แข็งแรงแน่นหนาล้อมรอบตัวปราสาท ยุคแรกที่สร้างจะเริ่มจากสร้างหอเฝ้าระวังภัย ที่สามารถมองเห็นรอบทิศ ซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่งแห่ง และใช้เพื่อเป็นที่หลบภัยของชาวบ้าน เมื่อเวลาผ่านไปก็มีการต่อเติมเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง ด้วยกำแพงล้อมรอบ และสร้างที่พักให้ผู้ที่มาหลบภัยภายในป้อมปราการ ต่อด้วยตัวปราสาทเพื่อเป็นที่พักอาศัยของผู้ครองเมือง มีการเพิ่มป้อมปืนใหญ่ในยุคหลัง บางแห่งมีคุกใต้ดินไว้คุมขังนักโทษด้วย และบางแห่งมีโบสถ์อยู่ภายในบริเวณป้อมปราการด้วย ทำเลที่ตั้งของปราสาทในลักษณะนี้มักจะต้องเข้าถึงได้ยาก, อยู่ในชัยภูมิดี และได้เปรียบในการรบ เช่นบนภูเขา, มีแม่น้ำรอบรอบ และมีสะพานที่ดึงขึ้นมาได้เพื่อปิดทางเข้าออก หรือแม้กระทั่งเนินเขาที่อยู่ริมแม่น้ำ เป็นต้น การก่อสร้างปราสาทในลักษณะนี้ไม่ได้เน้นความหรูหราสะดวกสบาย ดังนั้นแล้วการตกแต่งภายในก็ไม่เหมือนกับปราสาทที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของผู้ครองเมือง แต่จะคำนึงความปลอดภัยในทุก ๆ ด้าน ตัวอย่างขอปราสาทแบบนี้ คือ Burg Eltz ปราสาทเอ็ลทซ์ เป็นปราสาทยุคกลางสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1157 โดยขุนนางสามตระกูลเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยตั้งแต่ คริสต์ศตวรรษที่ 12 จนถึงปัจจุบันก็ยังมีส่วนหนึ่งของปราสาทที่ใช้เป็นที่พักอาศัย ตั้งอยู่บนภูเขาทางตอนเหนือแม่น้ำโมแซล (Moselle) ระหว่างเมืองโคเบล็นทซ์ (Koblenz) และเมืองเทรียร์ (Trier) เป็นปราสาทยุคกลางที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศเยอรมนีเพราะไม่เคยถูกทำลายโดยภัยสงคราม Katz Castle (Burg Katz) ปราสาทแคทซ์ เป็นปราสาทยุคกลางสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1371 ตั้งอยู่บนเนินเขาริมแม่น้ำไรน์ ในเมือง St. Goarshausen สร้างขึ้นเพื่อใช้ป้องกันเมือง ที่กำแพงปราสาทด้านตะวันออกยังเป็นที่ตั้งของคุกใต้ดิน และมีการก่อสร้างป้อมปืนใหญ่เพิ่มขึ้นมาในศตวรรษที่ 18 เมื่อปี ค.ศ. 1806 ปราสาทแคทซ์ถูกทำลายในสงครามกับนโปเลียน ในปลายศตวรรษที่ 19 ได้รับการบูรณะเป็นบางส่วน ในประเทศเยอรมนี มีปราสาทประมาณ 20,000 แห่ง อยู่ทั่วประเทศซึ่งแต่ละแห่งมีประวัติความเป็นมาน่าศึกษา หลาย ๆ แห่งเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเยี่ยมชมได้ ทั้งภายในและภายนอกปราสาท รวมทั้งจัดแสดงสิ่งมีค่า เช่น เฟอร์นิเจอร์, เครื่องประดับ, ของใช้ในชีวิตประจำวัน, อาวุธ, เสื้อเกราะ, และจานชาม เครื่องเคลือบ การไปชมปราสาทถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่เราจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดีค่ะ @ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียน #เที่ยวต่างประเทศ #เที่ยวยุโรป