รีเซต

เปิดตำนาน 8 ลานประหาร สุดสยองรอบโลก

เปิดตำนาน 8 ลานประหาร สุดสยองรอบโลก
แมวหง่าว
4 มีนาคม 2565 ( 17:20 )
23.3K
4

     แดนประหาร ที่ที่หลายคนรู้สึกว่าน่ากลัว และเป็นเรื่องไกลตัวมาก แต่จากประวัติศาสตร์โลกแล้ว ครั้งหนึ่งเราเคยมีสถานที่ที่เรียกว่า "ลานประหาร" นำเสนอความตายกันให้เห็นๆ ตรงหน้าอย่างเป็นสาธาณะ ไม่ว่าจะเพื่อลงโทษให้สาสม เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง หรือเพื่อสร้างความหวาดกลัวก็ตาม และต่อไปนี้คือ 8 ลานประหารที่มีชื่อเสียงจากรอบโลก ที่จะทำให้คุณต้องรู้สึกขนลุกเพียงแค่เดินเฉียดใกล้เท่านั้น

 

 

ลานประหาร สุดสยองจากรอบโลก

1. Place de la Concorde, Paris

 

Public Domain

 

     จัตุรัสคองคอร์ด จัตุรัสที่กว้างใหญ่ที่สุดในกรุงปารีส สร้างในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 และที่สำคัญยังเป็นลานประหารกลางแจ้งในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศส ที่มีผู้ถูกตัดคอด้วยกิโยตินกว่า 20,000 ราย ว่ากันว่า ช่วงนั้นการไปชมการประหารเปรียบเหมือนมหรสพสำหรับชาวเมืองดีๆ นี่เอง ถึงขั้นต้องแย่งที่เพื่อให้ได้ดูในแถวหน้าเลยทีเดียว รวมถึงพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส และพระนางมารี อ็องตัวแน็ตเอง ก็สวรรคตจากการสำเร็จโทษในช่วงของการปฏิวัติฝรั่งเศส ด้วยเครื่องกิโยตินนี้ด้วย

 

2. Tower of London, UK

 


By Sheri from Ft. Myers, FL, USA - Tower of London, CC BY-SA 2.0

 

     หอคอยแห่งลอนดอน อีกหนึ่งสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ถูกสร้างด้วยการดัดแปลงจากป้อมปราการเก่าให้กลายเป็นปราสาทหินทั้งอาคาร รวมถึงลานประหารจริงๆ ที่เคยใช้ประหารนักโทษมานับพันราย รวมถึง แอนน์ โบลีน อดีตราชินีอังกฤษ ที่ถือได้ว่าเป็นวิญญาณที่เฮี้ยนมากเป็นลำดับต้นๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ เรื่องสยองที่ผู้คนมักเจอกันก็คือ ร่างขององค์ราชินีที่ไม่มีศีรษะปรากฎอยู่บนหอคอยลอนดอน

 

3. Auschwitz Birkenau, Poland

 


By Joshua Doubek - Own work, CC BY-SA 3.0

 

     ค่ายกักกันนาซี เอาชวิทซ์-เบียร์เคเนา หนึ่งในสถานที่ที่น่าหดหู่ที่สุดในโลก เพราะชาวยิว ชาวยิปซี และนักโทษสงครามอื่นๆ ถูกพามาประหารชีวิตด้วยการรมแก๊สพิษกว่าล้านคนในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยหลอกว่าเป็นการพามาทำงาน ภายในมีรั้วรอบขอบชิดด้วยรั้วลวดหนาม และรั้วไฟฟ้า ความตายเป็นอิสรภาพเพียงอย่างเดียวของนักโทษที่นี่

 

4. Choeung Ek (Killing Fields), Cambodia

 


daphnusia / Shutterstock.com

 

     เรื่องราวของทุ่งสังหารที่กัมพูชา ที่ว่ากันว่าโหดร้ายทารุณยิ่งกว่าค่ายนาซี เพราะเป็นการกระทำต่อคนเชื้อชาติเดียวกัน ไม่ได้มีความแค้นใดๆ ต่อกันเลย มีผู้เสียชีวิตที่นี่เป็นจำนวนกว่า 1 ล้าน 7 แสนคน โดยเหยื่อทั้งหมดถูกยิง ถูกตัดหัว ถูกทุบตี ถูกแทง และอีกสารพัดวิธีการทรมานสุดแต่ที่ชาวเขมรด้วยกันจะคิดออกมาได้

 

 

 

5. THINGVELLIR, Iceland

 

 

     ซิงเควลลิร์ นั้นเรียกได้ว่าเป็นดั่งจุดเริ่มต้นของประเทศไอซ์แลนด์ เป็นที่ตั้งของสภาแห่งแรกของประเทศ (โดยเป็นเพียงการประชุมกลางแจ้งของเผ่าต่างๆ ในเวลานั้น) โดยไม่ไกลกันนักจะมีแม่น้ำ "Drekkingarhylur" แปลว่า "บ่อจมน้ำ" อันเป็นที่สำหรับประหารนักโทษหญิงด้วยวิธีการถ่วงน้ำ (นักโทษชายจะประหารด้วยการแขวนคอ หรือตัดคอ) ซึ่งการประหารด้วยวิธีนี้เพิ่งยกเลิกไปในปีค.ศ. 1838

 

6. Bukhara, Uzbekistan

 


Sun_Shine / Shutterstock.com

 

     บูคารา เมืองมรดกโลกที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมโบราณ และยังเป็นโอเอซิสกลางทะเลทรายด้วย และด้วยความที่เป็นเมืองแห่งการค้า การประหารอาชญากรจึงต้องทำในที่สาธารณะเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง โดยการนำนักโทษขึ้นไปยัง "Tower of Death" ขึ้นบันไดความสูง 105 ขั้น แล้วผลักให้ตกสู่ฝูงชนเบื้องล่าง

 

7. SUZUGAMORI EXECUTION GROUNDS, Japan

 


By User:Onething - ja:ファイル:鈴ヶ森刑場.JPG, CC BY 3.0

 

     ซูสุงาโมริ เคโจอาโตะ ลานประหารขนาดใหญ่ในสมัยเอโดะ ถึงสมัยเมจิที่ 3 รวมๆ แล้วที่นี่ถูกใช้งานเป็นลานประหารถึง 220 ปี คร่าชีวิตไปกว่า 100,000 คน มันถูกสร้างให้ห่างออกมาจากตัวเมืองเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด "มลภาวะทางวิญญาณ" ขึ้นในเมือง วิธีการประหารชีวิตในยุคนั้นจะทำโดยจับนักโทษมัดมือเท้าแล้วห้อยหัว นำไปถ่วงน้ำให้ขาดใจตาย

 

8. วัดปทุมคงคาราชวรวิหาร, กรุงเทพฯ

 

 

     วัดปทุมคงคา (เขตสัมพันธวงศ์) เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยา น่าจะเป็นสถานที่ประหารชีวิตแห่งแรกที่เป็นวัดในมหานคร ใช้ประหารชีวิตเจ้านาย และนักโทษทั่วไป ทั้งด้วยวิธีทุบด้วยท่อนจันทน์ และตัดหัว

 

     วัดปทุมคงคานอกจากใช้เป็นลานประหาร ที่ท่าน้ำยังเป็นที่ลอยอังคารช้างเผือกสมัยโบราณอีกด้วย เมื่อก่อนในวัดยังมีต้นอโศกอายุร้อยกว่าปี แต่ด้วยมีข่าวลือว่ามีผีสิง และผู้คนมักมาผูกคอตายใต้ต้นไม้นี้ ชาวบ้านจึงพากันโค่นต้นไม้แล้วสร้างวิหารเล็กๆ ไว้แทน โดยนำพระพุทธรูปที่ชาวบ้าน และพระในวัดช่วยกันปั้นขึ้นมาจากเศษพระพุทธรูปแตกหัก เรียกกันต่อมาว่า หลวงพ่อขาว มาประดิษฐานเอาไว้

====================