สวัสดีค่ะ เพื่อนๆ พี่ๆ นักอ่านทุกท่าน วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับเมืองเล็กๆ ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีกันค่ะ เมืองนี้ชื่อว่า Aosta ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาแอลป์ที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเราก็เห็นภูเขาหิมะโอบล้อมเมืองทุกรอบด้าน ภายในเมืองเต็มไปด้วยอนุสาวรีย์ ร้านค้า และ สถาปัตยกรรมสไตล์โรมัน เนื่องจากเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นโดยชาวโรมันตั้งแต่เมื่อ 25 ปีก่อนคริสตกาล ทำให้เรายังเห็นร่องรอยของวัฒนธรรมโรม้นได้ทั่วๆ ไปภายในเมือง ในเมืองมีรสบัสให้บริการ หรือถ้าเพื่อนๆ ขยันเดินหน่อยสามารถเดินเล่นได้รอบเมืองเลยนะคะ จะบอกว่าบรรยากาศดี อากาศสดชื่น มีทางเดินให้เราตลอดทางเลยค่ะการเดินทางมาที่เมืองนี้เราจะนั่งรสบัสจากเมืองมิลานมาลงที่อาออสต้า โดยใช้บริการรถบัสของ Flixbus ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง (ขึ้นจาก Lampungano, Milano) เวลาและราคาอาจจะเเตกต่างกันตามจุดที่ขึ้น สามารถเช็คราคาได้จากเว็บไซต์ https://ticket.duomomilano.it/ เรามาเที่ยวที่นี่ทั้งหมด 3 วัน 2 คืน หลังจากถึงที่พักในช่วงบ่ายแก่ๆ วันแรกเราก็จะเริ่มสำรวจบริเวณแรกกันก่อนเลย เราจะพักแถวโซนที่เป็นถนนคนเดิน บริเวณนี้จะคึกครื้น มีนักท่องเที่ยวมากมาย ร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ ก็จะรวมกันอยู่ที่ถนนเส้นนี้ มองจากห้องพักก็จะเห็นวิวภูเขาหิมะอยู่ใกล้ๆ เลยค่ะ เราก็หาอะไรทานที่โซนนี้ทุกวันเลย เพราะใกล้เเละของทานเยอะมาก จะบอกว่าที่นี่ร้านอาหาร ร้านเจลาโต้ ร้านของหวานอร่อยทุกที่ที่เราไปทานเลย ภายในเมืองจะมีถนนตรอกซอกซอยเดินได้ทั่วเลยค่ะ หลายๆ แห่งรถยนต์จะเข้าไม่ถึงแนะนำให้ฟิตร่างกายสำหรับเดินมาให้พร้อมนะคะ ในเมืองนอกจากถนนคนเดินเเล้ว ระหว่างทางก็มีจะมีโบสถ์ กำแพงเมือง สถาปัตยกรรม ที่มีกลิ่นอายของความเป็นโรมันให้เราเห็นตลอดทางที่เดินพร้อมกับวิวภูเขาหิมะ เป็นอะไรที่สวยๆ มากเลยค่ะนี่จะเป็นประตูชัย Arco di Augusto เดินมาสุดทางจากถนนคนเดินเราจะเห็นประตูชัยสไตล์โรมันนี้ตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้าเลยค่ะส่วนนี้จะเป็นร่องรอยกำแพงเมืองเก่าที่ตั้งอยู่กลางเมืองกลมกลืนไปกับร้านค้าต่างๆ ภายในเมือง เดินเข้ามาแล้วเหมือนหลุดเข้ามาในเมืองโบราณเลยค่ะแล้วยังมีรูปปั้นงานไม้แกะสลักแปลกตา I Fisarmonicisti di Aosta ที่กำลังเล่นหีบเพลงให้เราฟัง เป็นรูปปั้นที่ทำจากไม้เกาลัดในปี 1999 ให้เราได้ถ่ายรูปพร้อมกับวิวกำแพงเมืองที่ทอดยาวออกไป และยังมีโบสถ์ที่สวยงามอีกด้วยค่ะผ่านไปแล้วสำหรับวันแรก โดยเราจะใช้เวลาเดินเล่นในเมืองทั้งวัน เมืองไม่เล็กไม่ใหญ่มากพอที่เราจะสำรวจ จุดสำคัญต่างๆ ได้ครบถ้วนเหมาะสำหรับ 1 วันพอดีค่ะวันที่สอง เราจะพาไปปีนเขากันค่ะ หลังจากที่วันแรกเดินมองวิวภูเขามาทั้งวัน วันนี้เราจะขึ้นไปที่นั่นให้เห็นกันเต็มตาไปเลย ซึ่งภูเขาลูกนี้ก็คือ Mont Blanc นั่นเองค่า ภูเขาลูกนี้ตั้งอยู่บริเวณพรมแดนระหว่างประเทศฝรั่งเศสกับประเทศอิตาลี เป็นภูเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาแอลป์ วิธีไปเราจะต้องนั่งกระเช้าเคบิลกันขึ้นไป จุดที่ไปจะเรียกว่า Pila ซึ่งจะอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลที่ 1800 เมตร อากาศข้างบนจะถูกปกคลุมด้วยหิมะตลอดปี เพราะฉะนั้นเราจะต้องเตรียมอุปกรณ์กันหนาวกันมาดีๆ นะคะ เมื่อเราขึ้นมาข้างบนที่นี่จะมีกิจกรรมยอดฮิตให้เราทำคือ เล่นสกี เค้ามีให้เช่าอุปกรณ์ข้างบนนะคะสำหรับใครที่ไม่มีอุปกณ์มา ส่วนใครที่เล่นไม่เป็นสามารถเดินชมภูเขาเหมือนอย่างเราก็ได้นะคะ แนะนำให้พกอุปกรณ์ช่วยเดินมาด้วยเพราะหิมะเยอะมาก อาจจะเดินยากหน่อย แต่ก็เช่นเคยมีร้านให้เช่าอยู่เป็นจุดๆ ที่นี่เราจะได้สัมผัสความหนาวเย็น หิมะ ธรรมชาติ และวิวภูเขากันแบบจุใจไปเลยค่ะขึ้นมาข้างบนสูดอากาศเย็นเจี๊ยบ เหมือนได้รีเฟรชตัวเองไปในตัว สดชื่นมากๆ แต่ก็หนาวมากๆ เช่นกันค่ะ เดินจนมาเจอร้านอาหารก็แวะทานพิซซ่ากับวิวภูเขาหิมะสวยๆ ก่อนเดินกลับลงไปขึ้นเคบิลเพื่อลงไปข้างล่างอีกทีค่ะ สำหรับเราไม่ได้ทำกิจกรรมเยอะมากที่นี่ แต่เเค่เดินชมธรรมชาติ ก็ฟินมากๆ แล้วค่ะ ที่นี่มีที่พักให้สำหรับท่านที่สนใจอยากมาค้างคืนข้างบนสามารถกดจองตามเว็บจองห้องพักทั่วไปได้เลยนะคะ ต่อมาเราขอแนะนำร้านอาหาร ของหวาน ร้านไอศกรีม ที่ส่วนตัวเราชอบมาก อยากให้ทุกคนไปลองกันค่ะ ก่อนอื่นเลยขอแนะนำแอพลิเคชั่น ชื่อ Fork เป็นแอพลิเคชั่นสำหรับจองร้านอาหาร จะมีส่วนลดมากมายที่คนอิตาลีนิยมใช้กันค่ะ หลายที่ในอิตาลีร้านอาหารต้องโทรไปจองก่อน หากเราสื่อสารภาษากับเค้าไม่ได้แนะนำให้จองล่วงหน้าในแอพลิเคชั่นไปเลยค่ะ เรามาเที่ยวที่นี่ก็ใช้ส่วนลดประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะเลยค่ะร้านแรกเป็นร้านอาหารอิตาเลียนเเท้ๆ ชื่อ Quintarius พาสต้าอร่อยมาก เครื่องดื่มก็รสชาติดี บรรยากาศร้านก็โรเเมนติกมากค่ะ ต่อมาเป็นร้านเจลาโต้ ชื่อ “A me mi piace” il Gelato Artigianale sempre fresco ร้านจะไม่มีที่นั่งทาน เป็นแบบ take away เท่านั้น แนะนำเมนูเครปนูเทล่า นูเทล่าให้มาจัดเต็ม และเจลาโต้รสตามชอบได้เลยค่ะ ยังไม่หมดไปต่อกันที่ Pasticceria หรือร้านเบเกอรี่ เราขอเเนะนำเป็นร้าน Giogi มีเบอเกอรี่หลายหลาก ทำสดใหม่ทุกวัน คุณป้าคนขายน่ารัก แต่ที่นี่ก็ไม่มีที่นั่งทานเช่นกัน เราสามารถซื้อเเล้วเดินทานไปได้เลยค่ะ สุดท้ายแนะนำร้านช็อกโกแลต Poesie Chocolat Artisanal De Montagne จะซื้อทานเองหรือเป็นของฝากก็ได้ เค้ามีช็อกโกแลตหลายหลายจำลองเป็นรูปต่างๆ สมจริงมาก รสชาติก็ดี มีความเข้มข้นของช็อกโกแลตหลายระดับให้เลือกทาน เราจะเห็นขณะเค้ากำลังทำช็อกโกแลตด้วยนะคะ อร่อยถูกใจสายหวานแน่นอนค่า สุดท้ายนี้อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าอาหาร ขนม เบเกอรี่ อร่อยทุกอย่างเลยบางร้านเราอาจจะจำชื่อไม่ได้ หรือไม่ได้ถ่ายรูปร้านมา เลยจะขอเอาภาพอาหารที่ทานและถ่ายไว้มาให้ชมรวมๆ กันไปนะคะ ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ติดตามแล้วพบกันใหม่ค่ะ :)เครดิตภาพถ่าย : โดยนักเขียนเอง อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !