ขี่มอ’ไซค์ เที่ยวนานๆ ที่ น่าน บ่อเกลือ ภูแวว เมืองน่าน ครั้งเดียวไม่พอ !
ไม่กี่สัปดาห์ก่อนมีเรื่องปลูกป่าเมือง น่าน เป็นกระแสขึ้นมา ทำให้นึกถึงช่วงปีใหม่ ที่ได้เยือนเมือง “ปู่น่านย่าน่าน” มา เลยอยากแบ่งปันเรื่องราวของในมุมมองของคนนอกให้ฟังกันดู
กางแผนที่วางจุดพักแรมคร่าวๆ คือ บ่อเกลือ 1 คืน ลากสังขารขึ้น ภูแว 1 คืน และมาจบด้วยการพักในเมือง คืนสุดท้าย เดินเล่นในตัวเมืองอีก 1 วันก่อนกลับกรุงเทพฯ
เราออกจาก กรุงเทพฯ ตอนเย็น ถึง บขส. น่านช่วงเช้ามืด ก็ตรงไปร้านรถเช่าในเมือง ได้รถแล้วก็หาอาหารร้องท้องจากนั้นก็ลุยขับรถฝ่าหมอกเช้า ผ่าน อ.สันติสุขเส้นถนนลอยฟ้า ไป อ.ปัว ระยะทางประมาณ 70 กม. ตลอดเส้นทางสวยมาก เจอทั้งไอหมอก และน้ำค้างยามเช้า เล่นเอาเสื้อชุ่มน้ำ บางช่วงต้องแวะข้างทางสะบัดมือไล่ความหนาว สุดท้ายถึง อ.ปัว ที่พักรถจุดแรกราวสายๆ แวะ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำโฮมสเตย์ ดื่มกาแฟหอมๆ เอาแรง พร้อมชมวิวสวยๆ ฟ้าสีฟ้าสด ทุ่งนาร้างมีหญ้าอ่อน ห้วยน้ำใส เดินเล่นถ่ายรูป ทำเอาลืมชีวิตเมืองกรุงกันไปเลย
หายเหนื่อยก็ควบมอเตอร์ไซค์ลุยต่อ เป่าหมายต่อไปคือ ขุนเขาธารา รีสอร์ท ในอ.บ่อเกลือ ที่พักในคืนแรก ระยะทางราว 70 กม. ใช้เส้นทางผ่านอุทยานแห่งชาติ ดอยภูคา ตรงนี้ต้องแวะลงทะเบียนสำหรับเดินขึ้นภูแว จุดหมายคืนที่สองด้วย ตลอดเส้นทางผ่านป่าไม้ที่ยังอุดมสมบูรณ์ สวยงาม วิวข้างทางชวนให้ชื่นใจ เห็นขุนเขาสุดลูกหูลูกตา แต่ขอเตือนต้องขับรถแบบระวังมากเป็นพิเศษ เพราะทางชันเอาการ ถ้ามัวแต่มองวิวจนเพลินไม่ดีแน่ๆ
ก่อนถึงที่พักก็แวะหาเสบียง ที่ตลาด อ.บ่อเกลือ อยากได้อะไรเตรียมให้พร้อม เพราะเราไม่รู้จะพบร้านค้าตรงไหนอีก เสร็จสรรพได้เข้าที่พักช่วงเย็นๆ สุดเด่นของที่พักคืนนี้ คือการนอนในเต้นท์ที่ข้างหน้ามีลำธารเล่นน้ำเย็นชื่นใจ ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขา กลางคือก็ทำอาหารทานเอง มีดาวเต็มท้องฟ้าแบบที่ไม่มีทางได้เห็นในกรุงเทพฯ อยู่เหนือหัว แต่จะเมามันกับบรรยากาศมากไม่ได้ เพราะรุ่งเช้ามีภารกิจสำคัญรออยู่
เช้าวันที่สอง ขับมอเตอร์ไซค์ ไปให้ถึง หน่วยบ้านด่าน ต.ขุนน่าน อ. เฉลิมพระเกียรติ ราว 40 กม. ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินขึ้น ภูแว ที่พักคืนที่สอง ถึงราวเกือบเที่ยง คนพร้อม เจ้าหน้าที่พร้อม ลูกหาบพร้อม ก็ลุยกันเลย เส้นทาง 11 กม. รออยู่ !
ระหว่างทางเราจะผ่าน หมู่บ้านปู่ดู่ หมู่บ้านชนเผ่าลัวะ ผ่านตรงนี้แล้วจะเจอของจริง เพราะต้องเดินเลียบไหล่เขาเกือบตลอดทาง ตรงนี้จะไม่เห็นอย่างอื่นนอกจากภูเขา ภูเขา และภูเขา สุดลูกหูลูกตา และต้องตกใจเพราะไม่มีต้นไม้ชนิดอื่นนอกจากต้นข้าวโพด ที่เราเห็นภาพข่าวภูเขาหัวล้านนั้นล่ะ แต่เราเป็นคนนอกไม่มีสิทธิไปตัดสินอะไร เพราะนี้เป็นวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ เราทำได้แค่มองเก็บภาพฟ้าสวยๆ กับพื้นที่โล่ง และกลับมาคิดเท่านั้น
เดินหลังชุมเหงื่อสักสองสามรอบก็ผ่านไร่ข้าวโพด คราวนี้มีของแข็งเพราะเจอทางชันสักพักก่อนถึงจุดหมาย และภูแว ที่ว่านี้ ใครคิดจะขึ้นต้องถึกพอตัวเพราะบนนี้ไม่มีอะไรเลย เป็นการนอนกลางป่าของจริง ใครจะไปเตรียมของให้พร้อมแล้วฝากลูกหาบให้แบกไป
ตรงนี้สำหรับผมขอใช้คำของคนอื่นเขาที่ว่า “ระหว่างทางสำคัญไม่แพ้จุดหมาย” เพราะไม่ว่าข้างบนนี้ จะสวยแค่ไหน ทั้งแง่งหินที่ทำให้เราได้นอนอ่านหนังสือกลางหมู่เมฆ แนวสันเขาที่เป็นมีดกรีดท้องฟ้า ภาพพระอาทิตย์ตกในทิวเขา ดาวประดับฟ้าละลานตา อรุณรุ่งกลางป่าเขา แต่ระหว่างทาง เราได้เห็นน้ำใจของเพื่อน คอยหยิบยื่นมือดึงรั้งให้ไปต่อ ส่งน้ำดับกระหาย คำพูดให้กำลังใจยามเราเหนื่อย ตลอดเส้นทางล้วนมีเรื่องราว
เข้าวันที่ 3 เดินลงจากภูแว ถึงหมู่บ้านปู่ดู่ ถ้าใจถึงก็ลองนั่งพี่วินมอเตอร์ไซค์ภูเขา บอกเลยหนุกมาก ทางที่เราไม่กล้าขับในชีวิตจริงแต่พี่ๆ บ้านปู่ดู่ เขาจัดให้เราได้เสียวดีทีเดียว ถ้าขับเองมีหวังลงไปตีนเขาตั้งแต่โค้งแรก พอถึงหน่วยบ้านด่านราวบ่ายโมง คราวนี้ก็ขับมอเตอร์ไซค์รวดเดียวเข้าตัวเมือง ผ่าน อ.เฉลิมพระเกียรติ ทุ้งช้าง เชียงกลาง รวมเส้นทางประมาณ 175 กม. บอกคำเดียวเหนื่อย ถึงที่พักคืนสุดท้ายก็ขอของกินอาหารเหนือให้ฉ่ำใจพักผ่อนให้เต็มที่
เช้าวันสุดท้ายก็ร่อนมอเตอร์ไซค์ เก็บที่เที่ยวในเมือง ทั้ง วัดภูมินทร์ ดูภาพปูน่านย่าน่านบอกรักกัน ลอดซุ้มต้นลีลาวดี ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติน่าน หาร้านกาแฟชิลล์ๆ จิบก่อนขึ้นรถกลับ สรุปแล้วเที่ยวน่านครั้งเดียวรับรองไม่พอ เพราะที่เล่ามาทั้งหมดนี้ยังไม่ได้ครึ่งของจังหวัดนี้ เลยนะ !
words & photo by ศิวดุล หมันงะ