สามพันโบก สถานที่ๆ ยังคงเป็น Unseen Thailand สำหรับทุกคนอยู่เสมอ และสำหรับเราก็เช่นกันสามพันโบกคือหนึ่งใน Bucket list ของเราเลยละ อยากไปมาก ตั้งแต่ได้เห็นภาพสามพันโบกครั้งแรก เรารู้จัก 'สามพันโบก' ก่อนที่จะรู้จักจังหวัดอุบลราชธานีซะอีก ฟังดูตลกไหม คือเราหมายถึงเรารู้จักสถานที่นี้ก่อน แล้วก็ค่อยไปดูว่าอยู่ตรงไหนของไทย แล้วค่อยศึกษาดูว่าอุบลราชธานีมีอะไรให้เที่ยวบ้างเพราะทีแรกเราอยากไปแค่ 'สามพันโบก' อย่างเดียวเลย ไม่รู้จักที่อื่นเลย แต่เราก็ใช้เวลาอยู่นานเหมือนกันนะ เก็บความอยากไปไว้หลายปีทีเดียว เพราะสามพันโบกเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องดูเวลาที่เหมาะสม ถ้าพ้นหน้าหนาว หน้าร้อน น้ำขึ้นก็เที่ยวไม่ได้แล้ว พอเราว่างก็ไม่ใช่ช่วงที่ควรไปเที่ยว พอถึงช่วงที่เที่ยวได้เราก็ไม่ว่างจนครั้งนี้เลยตัดสินใจว่า ไปเถอะ ไปสักที ถึงแม้ช่วงที่เราว่างและเลือกไป จะเป็นช่วงต้นเดือนเมษาที่ภาคอีสานร้อนมากก็ตาม มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สามารถมาเที่ยวสามพันโบกได้ แต่ไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศที่ร้อนมาก ยังมีความแอบเป็นนักท่องเที่ยวหลงฤดูเหมือนกันนะเนี่ย เราท่องเที่ยวแบบเต็มๆ ในอุบลราชธานีเป็นเวลา 2 วันถ้าพร้อมแล้วก็มาอ่านเรื่องราวโหด มัน ฮา 2 วันในอุบลราชธานี ของนักท่องเที่ยวหลงฤดู 2 คน (เรากับเพื่อน) กันเลยค่ะวันของการเดินทาง ขออนุญาตไม่เรียกว่าเป็นวันแรกนะคะ เพราะเราเดินทางกันตอนเย็นค่ะ ทริปนี้เป็นเหมือนทริปที่มีการวางแผนล่วงหน้านะ แต่สุดท้ายก็เหมือนว่าไม่ได้วางแผนอะไรเลยซะงั้น เพราะเริ่มแรกเราชวนเพื่อนขับรถไป ตั้งใจให้เป็น Road trip แต่ใกล้ๆ วันเดินทาง เพื่อนไปไม่ได้ขึ้นมา แต่เรายังต้องไปอยู่ ก็เลยจองตั๋วรถทัวร์กับเพื่อนอีกคนก่อนเดินทางประมาณ 1 หรือ 2 วันนี่ละ ขากลับก็จองตั๋วเครื่องบินกลับไฟล์ทเช้า เพราะราคาถูก เราเดินทางกันเย็นวันศุกร์ ซึ่งเป็นเย็นวันศุกร์ที่หมอชิตคนเยอะมากกก มากจนเราตกใจ คงเป็นเพราะช่วงที่เราเดินทางตรงกับวันหยุดต่อเนื่อง 3 วันด้วยละมั้ง คนเลยเดินทางกันเยอะ เรากับเพื่อนออกเดินทางไปกับรถทัวร์ชั้นเดียวไซส์กระทัดรัด แต่มีขนมกับน้ำและคูปองอาหารแจกให้นะ ตรงที่เรากับเพื่อนนั่งเป็นแถวหน้าสุดกว้างพอสมควรให้ยืดขาได้สบาย แต่แอร์เย็นเว่อร์ แบบหมุนปรับเท่าไหร่ก็ยังไม่หายเย็น และด้วยความที่แอร์เย็น เราก็นั่งบ่นกันมาตลอดทางนะว่า รถไม่มีผ้าห่มให้เนอะ หนาวมากเลย นู้นนี่นั่น ปรากฎว่านั่งมาถึงจุดพักรถ พอรถจอดให้ลงไปพักทานอาหาร ความจริงก็ปรากฎ เรากับเพื่อนนั่งทับผ้าห่มมาตลอดทางเลยจ้า พาม พ่าม 55555 บ่นหนาวกันอยู่ตั้งแต่นาน ผู้โดยสารคนอื่นเค้าห่มผ้านอนกันสบายไปนานแล้ว โก๊ะจริงๆ เลยเราการเดินทางในค่ำคืนนั้นเป็นการเดินทางที่เรารู้สึกว่ายาวนานมาก มากๆ เพราะรถติดหนักช่วงโคราชด้วย แล้วจ.อุบลราชธานีก็อยู่ไกล้ ไกล จนสุดชายแดนไทย ข้ามไปก็เป็นลาวแล้ว การนั่งรถครั้งนี้เลยยาวนานเหลือเกิน นานแบบ นั่งจนปวดตูดกันเลยทีเดียวขอต้อนรับเข้าสู่ วันแรกของการท่องเที่ยวค่ะ วันนี้เราเดินทางมาถึงสถานีขนส่งอุบลราชธานีเวลาประมาณ 08.30 น. โดยประมาณ เรากับเพื่อนไปรับรถที่เราติดต่อเช่าไว้ เป็นบริษัทรถเช่าในอุบลฯ จ่ายค่าเช่าวันละ 800-1,000 บาท แอบเเพงนิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะเราเช่ากระทันหัน พอรับรถแล้วจะมีให้จ่ายค่ามัดจำรถ จะคืนให้ตอนเอารถมาคืนค่ะ รับรถเสร็จเรียบร้อย เราก็ไปทำภารกิจส่วนตัว ล้างหน้า แปรงฟัน เปลี่ยนชุด และพร้อมออกเดินทางค่ะเราไปทานอาหารเช้าในตัวเมืองกันก่อนซื้ออาหารฮาลาลไว้ทาน ดีจังในตัวเมืองอุบลฯ มีมัสยิดและมีร้านอาหารฮาลาลอยู่หลายร้านพาเพื่อนแวะทานเจ้าเด็ด เจ้าดัง ตามรีวิว เพื่อน Recommend ไว้ว่า เด็ดจริงดีจริงต้องมาลองกันเด้อจ้าตุ่นเสบียงไว้ในท้องพร้อมแล้วก็ออกเดินทางท่องเที่ยวกันได้ เรากับเพื่อนไม่ได้มีแพลนเที่ยวล่วงหน้าอะไรมากมาย เเค่คิดกันไว้ว่าอยากไปที่ไหนบ้าง แล้วก็ไล่ไปกันทีละจุดที่แรกเรามุ่งตรงไปที่โขงเจียม ไปชมแม่น้ำ 2 สีกัน ^^ ระหว่างการเดินทางเพื่อนเราก็ทักว่า 'ดูสิ เขามีร้านขายฆ้องเยอะมากเลยที่นี่ มีตลอดสองข้างทางเลย' ตอนนั้นเราไม่แน่ใจว่ากำลังขับรถผ่านตำบลหรืออำเภออะไรของอุบลฯ แต่เราว่า ฆ้อง คงเป็นของดีของที่นี่แน่ๆ แบบ 1 ผลิตภัณฑ์ 1 ตำบล ฆ้อง OTOP สินะเราขับรถมาถึงวัดแห่งนี้เจอกับ ฆ้องยักษ์อาเซียนมาชมวิวฝั่งลาวถึงแล้วจุดชมวิวแม่น้ำสองสีแม่น้ำสองสีที่เขาว่ากันว่า 'โขงสีปูน มูลสีคราม' ดูเหมือนว่าตอนนี้ ทั้งโขง ทั้งมูล ปูนและครามจะรวมกันเป็นสีเดียวไปซะแล้วละ555ไปต่อกันค่ะ อุทยานแห่งชาติผาแต้ม เยือนแหล่งมรดกโลกค่ะ ช่วงหลังๆ เราอินกับการท่องเที่ยวมรดกโลกมากเลย และที่นี่ก็เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของทริป และไฮไลท์ของการเดินทางมาอุบลราชธานีด้วยค่ะเรามาถึง เสาเฉลียง ตอนเที่ยงแดดตรงหัวกันเลยทีเดียว ต้องขอไปหลบแดดสักหน่อยความอัศจรรย์ของเสาเฉลียง คือการที่หินถูกกัดกร่อนตามธรรมชาติจนเป็นรูปทรงแบบนี้ และยังสามารถคานน้ำหนักตั้งอยู่ได้มานานนับหลายปีเสาเฉลียงว่าเป็นไฮไลท์แล้ว แต่ที่ไฮไลท์กว่าคือเราต้องไปชมภาพเขียนสีที่ผาแต้มกันค่ะ เพราะเป็นแหล่งที่พบภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีอายุราว 3,000 - 4,000 ปีสองสิ่งสำคัญสำหรับการท่องเที่ยวอุบลฯ ในหน้าร้อนคือ ร่มและน้ำดื่มค่ะ เราเดินไปเที่ยวผาแต้มพร้อมร่ม 1 คัน แต่ที่ไม่มีคือน้ำดื่ม O-O!! เดินเข้าไปแรกๆ ก็ไม่เท่าไหร่ค่ะ เดินชิวเลยไม่ร้อนด้วย มีร่มเงาของหน้าผาหิน อากาศเย็น ลมพัดสบาย เดินชมภาพเขียนสีกลุ่มต่างๆ ชื่นชมถึงความสามารถของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีการเขียนเล่าเรื่องราวไว้ที่หน้าผาหิน และยังคงปรากฎเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์มาจนถึงทุกวันนี้แต่พอเดินนานๆ ไป กับระยะทางที่ยังอีกยาวไกล เราไม่แน่ใจว่าระยะทางที่เราต้องเดินแบบครบ 1 รอบมันเท่าไหร่ แต่ไม่น้อยกว่า 3 กิโลแน่ๆ ซึ่งความกระหายน้ำเริ่มมาเยือน ในยามที่คุณต้องเดินทางไกลแต่ไม่มีน้ำดื่มติดตัวมาด้วย มันทรมานสุดติ่งไปเลยละ ตอนที่ยังอยู่ในร่มเงาหน้าผาเนี่ยไม่เท่าไหร่ แต่มันมีอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากชมภาพเขียนสีกลุ่มสุดท้ายที่อยู่ไกลจากกลุ่มอื่นมากๆ ช่วงหลังจากนี้จะเป็นทางเดินกลับลานจอดรถที่ไม่มีร่มเงาหน้าผาอีกต่อไป ทางเดินบางช่วงเป็นลานโล่งเลยทีเดียว รับแสงแดดที่แผดเผาเต็มๆ จ้า ดีที่พกร่มมาด้วย แต่ไม่มีน้ำดื่มนี่สิ ฟิลลิ่งเหมือนเดินอยู่กลางทะเลทรายซาฮาร่า กว่าจะเดินมาถึงลานจอดรถได้นี่ แทบเป็นลม ดูหน้าตัวเองในกระจกนี่แบบแดงจนดำไปเลย555 <<จริงๆ ดำอยู่แล้วป่ะ -_-!!เราก็เลยอยากจะแนะนำว่า พอเดินมาถึงภาพเขียนสีกลุ่มนี้ ตามในภาพ ซึ่งเป็นภาพเขียนสีไฮไลท์มีรายละเอียดชัดเจน มีความยาวที่สุดมากกว่ากลุ่มอื่น ให้ทุกคนเดินย้อนกลับไปทางที่เดินเข้ามาจ้า จะได้ไม่ต้องเป็นเเบบเรา แนะนำด้วยความปรารถนาดี นี่ไปลองเหนื่อยมาให้แล้ว เชื่อเราได้ แต่ถ้าอยากชมภาพเขียนกลุ่มสุดท้ายที่อยู่ไกลๆ นู้น เราจะบอกให้ว่า ตรงจุดนั้นสามารถขับรถไปได้ละ แค่จุดนั้นจุดเดียวนะ ขับไปจอดตรงศาลาแล้วเดินลงไปชมภาพเขียน ระยะทางจะไม่ไกลมาก ใช้วิธีนี้ดีกว่าเยอะเชื่อเรา^^ เติมพลัง ^ ^พักจนหายเหนื่อย เราก็ต้องเดินทางกันต่อแล้วละ เพราะคืนนี้เราจองที่พักแบบจ่ายเงินไปแล้วผ่าน Agoda โดยจองที่พักไว้ที่ตำบลสองคอน เพราะใกล้กับสามพันโบก ตอนเช้าจะได้ออกมาเก็บแสงเช้าที่สามพันโบกได้แบบขับรถไม่ไกล จากจุดที่เราอยู่ตรงผาแต้มเดินทางไปที่พักระยะทางก็ไกลอยู่ไม่น้อย ถ่ายมาจากภาพโปรโมทตรงผาแต้ม55ระหว่างทางเราจะผ่านแหล่งท่องเที่ยวหลายที่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำตก มีน้ำตกนึงที่เรากับเพื่อนอยากไปชมมากๆ คือ น้ำตกแสงจันทร์ ภาพที่เคยเห็นน้ำตกที่ตกลงมาผ่านช่องหินสวยงามมากๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราลืมไปว่าเราเดินทางมาที่นี่ช่วงเมษายน เป็นหน้าร้อน เราแวะเข้าไปชมน้ำตกแรก ทางเข้าเงียบมาก เงียบสนิท มีเพียงหมาที่วิ่งไล่เห่ารถเรา พอขับเข้าไปถึงทางเข้าที่ปกติต้องมีเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีเลยสักคน แผงที่เคยเป็นร้านขายของก็ร้างไปแล้วตอนนี้ เรากับเพื่อนก็ถึงบางอ้อว่า 'เขาปิด เพราะไม่มีน้ำตกให้เที่ยว' แม้เเต่เสียงน้ำสักนิดก็ไม่ได้ยิน วังเวงสุดๆ เพื่อนเราบอกว่า "เมื่อกี้หมามันเห่าบอกแล้วไม่ยอมฟังมัน มันบอกอย่าเข้าไป555" เถาวัลย์ยักษ์แต่เรากับก็ยังแอบสงสัยหน่อยๆ ว่าถึงจะเป็นหน้าร้อนแต่ในบริเวณน้ำตกก็น่าจะมีน้ำบ้าง น้ำน่าจะมีค้างอยู่ในธารน้ำบ้าง ซึ่งข้อสงสัยก็ถูกไขให้กระจ่างในไม่ช้า เมื่อเรากับเพื่อนตัดสินใจเลี้ยวเขาไปตามป้ายที่เขียนว่าผาชนะได เถาวัลย์ยักษ์ และน้ำตก พอเราเข้าไปถึงจุดเยี่ยมชมเถาวัลย์ยักษ์ ถัดลงไปด้านล่างเป็นน้ำตก แต่ที่ๆ ควรจะเป็นน้ำตกนั้นกลับไม่มีน้ำเลยสักหยดแบบแห้งสนิทมาก แม้เเต่น้ำในลำธารด้านล่างก็ไม่มี กลายเป็นแค่หน้าผาหินธรรมดาแห้งๆ ไปเลย และเราก็ไม่สงสัยอีกต่อไป แต่จะจำไว้ว่าอย่าคิดจะมาเที่ยวน้ำตกภาคอีสานในหน้าร้อน เพราะคุณจะเป็นนักท่องเที่ยวหลงฤดูจ้า -_-!! ^ ^ อันนี้ก็ภาพที่ถ่ายมาจากภาพโปรโมท ที่ผาชนะไดจะมีเสาเฉลียงคู่แบบนี้ละจ้า เราขับรถย้อนออกมา ตั้งใจว่าจะไปเลี้ยวแยกที่เขียนว่าไปผาชนะได แต่ดันขับเลย และเราก็ขับย้อนกลับไปใหม่เพื่อตามหาผาชนะได ขับลึกเข้าไปในชุมชนเรื่อยๆ ก็ไม่มีวี่แววผาชนะไดเลย สุดท้ายยอมเเพ้ ขับออกมาดีกว่า ตอนนั้นดวงอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้าแล้ว เราต้องรีบไปที่พักก่อนจะยิ่งค่ำมากๆ เพราะไม่ชินทาง และสองข้างทางก็เป็นป่าเขา ไม่ค่อยมีไฟทาง ขับไปนานๆ ทีถึงจะเจอชุมชนหรือบ้านคน เราเลยรีบบึ่งรถไปอย่างไวเพื่อให้ถึงที่พัก จริงๆ คือหิวด้วย55ขณะที่กำลังขับรถแบบเหยียบเพลินๆ บนถนนโล่งๆ คือที่นี่ถนนโล่งมาก นอกจากสองข้างทางที่เงียบมาก ถนนก็แทบไม่มีรถวิ่งเป็นเพื่อนเลย อีกแล้วว ไปเที่ยวไหนเจอแบบนี้ตล๊อดดด นักท่องเที่ยวคนอื่นเค้าไปไหนกันหมดนะ เราก็ขับรถไปเพลินๆ เรื่อยๆ เหมือนตอนนั้นกำลังเม้าท์อะไรกับเพื่อนอยู่ด้วยมั้ง และก็เข้าสู่เขตพื้นที่ชุมชนพอดี เราก็เริ่มชะลอความเร็ว แต่ก็ยังรู้สึกว่ารถยังเร็วอยู่ ซึ่งจังหวะเดียวกันนั้นอยู่ๆ มีน้องหมาตัวน้อยวิ่งมาจากอีกฝั่ง นางจะข้ามถนนแต่ตัดหน้ารถเราอ่ะ จังหวะนั้น สายตาแว้บไปเห็นพอดี เหยียบเบรกมิดเลยจ้า แล้วเสียงอย่างดังอ่ะ ทั้งเสียงเบรกและเสียงหมาร้อง พอรถจอดสนิทในใจคิดอย่างเดียว 'ตูชนหมา ตายป่ะว่ะ' จังหวะเดียวกันนั้นน้องหมาลุกขึ้นแล้ววิ่งข้ามถนนกลับไปฝั่งเดิมด้วยท่าทางเสียขวัญมาก และเราก็ขวัญเสียเช่นกัน ดีแล้วที่น้องไม่เป็นไร ไม่งั้นเกินเหตุสลด เที่ยวไม่สนุกกันพอดี ตั้งแต่ขับรถเที่ยวตลอดทั้งวันต้องระวังหมากับไก่อยู่ 2 อย่าง พวกนางเป็นขาใหญ่ ไม่ค่อยกลัวรถ โดยเฉพาะไก่เนี่ยไม่หลบรถกันเลยนะจ๊ะหลังจากเหตุการณ์ตื่นเต้นผ่านไป ขับรถอีกไม่นานเราก็ถึงที่พัก 'ปลายฟ้ารีสอร์ท' ดีนะ ที่ๆ พักมีร้านอาหารและดีนะที่ร้านยังเปิดให้บริการอาหารค่ำอยู่ เพราะเรากับเพื่อนหิวมากเว่อร์นี่คืบรรยากาศที่พักค่ะ ที่นี่พนักงานบริการดี ใจดี ที่พักสะอาด ใกล้สามพันโบก คุณเจ้าของเขามาแนะนำการเดินทางไปเที่ยวสามพันโบกให้เราด้วย พี่เขาบอกว่าต้องออกจากรีสอร์ทสัก 05.30 น. ไปรอชมแสงแรกที่สามพันโบกเพราะเป็นไฮไลท์ และพอเที่ยวสามพันโบกเสร็จ ค่อยกลับมาทานอาหารเช้าที่รีสอร์ทค่ะต้องรีบนอนละ จะได้รีบตื่นไปชมแสงแรก ที่พักที่นี่เตียงนุ่ม แอร์เย็นนอนสบายดีค่ะ ^^วันที่สอง ตื่นกันแต่เช้าเลยค่ะ จัดการภาระกิจส่วนตัวแล้ว เราก็ขับรถไปที่สามพันโบกกันค่ะ พอถึงทางเข้าสามพันโบกก็น่าเเปลกใจอีกแล้ว ทำไมรถนักท่องเที่ยวน้อยจัง ไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวเลย เอ๊ะ! หรือเค้าเข้าไปข้างในกันหมดแล้ว เพราะตอนเรามาถึง ฟ้าเริ่มสว่างแล้วละจากด้านหน้าสุดที่มีร้านขายของและมีป้ายสามพันโบกจะเดินเข้าไปก็ได้นะ แต่เรากับเพื่อนเลือกเหมารถสองแถวคันเล็กๆ เข้าไป เพราะขี้เกียจเดิน จะรีบไปชมดวงอาทิตย์ขึ้น ราคารถรับส่งเหมาไปกลับ 150 บาท ถ้าจำไม่ผิด ถ้ามาหลายๆ คน หรือจะจอยกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นก็หารกันได้ แต่ตอนเราไปถึง อย่างที่บอกไม่มีใครเลย มีแค่เรากับเพื่อนรถพาเราเข้ามาส่งข้างใน จากปากทางถึงจุดไฮไลท์นี่ไกลพอสมควรเลยละ ถ้าเดินก็มีหอบอ่ะ เราเริ่มเห็นนักท่องเที่ยวคนอื่นละ เราก็เลยเดินไปที่จุดที่เค้ากำลังชมวิว ถ่ายรูปกันอยู่ และก็มีมัคคุเทศก์น้อยมาต้อนรับเรา น้องพูดจาไพเราะน่ารักมาก เพื่อนเราหันไปบอกน้องว่า 'นำเลยค่ะ^^'มัคคุเทศก์ตัวน้อยปฏิบัติงานได้ดีและคล่องแคล่วมาก พาเราไปชมจุดไฮไลท์ต่างๆ ในสามพันโบกเท่าที่รู้มา โบก หมายถึง แอ่ง แอ่งน้ำน่ะค่ะ สามพันโบกก็คือ สามพันแอ่ง อย่างที่เห็นนี่ละค่ะ Unseen Thailand จริงๆพอน้องนำทางเราชมจุดไฮไลท์ครบทุกจุดเราก็ให้ทิปน้อง ถือเป็นกำลังใจให้เด็กน้อยค่ะ และก็ให้น้องได้ไปต้อนรับคนอื่นต่อส่วนเรากับเพื่อนก็ไปเดินหามุมสวยๆ ถ่ายรูป แกรนด์แคนยอนเมืองไทยสักหน่อยตอนที่เรากับเพื่อนกำลังหาทางลงไปที่ตรงข้างล่างนั้น พวกเราเดินผ่านจุดหนึ่งที่เป็นจุดไฮไลท์ที่เป็นหลุมลงไป คนชอบมาถ่ายรูปกัน แล้วอยู่ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากหลุมนั้น 'อยากได้นางแบบจัง' เพื่อนเราเดินผ่านหลุมที่บอกไปแล้ว แต่เรายังไม่ได้เดินผ่านไป เลยชะงักก่อนตอนได้ยินเสียง คิดว่าคนข้างล่างเค้าจะถ่ายรูป แล้วเสียงเดิมก็ดังขึ้นอีกกับประโยคเดิม เราก็เลยสงสัยว่าเค้าพูดกับใครหว่าาา พูดกับเพื่อนเราป่าว เลยเดินเข้าไปชะโงกหน้าดู แล้วคนข้างล่างก็พูดว่า 'ผมมาคนเดียว อยากได้นางแบบ ช่วยเป็นนางแบบให้ผมหน่อย' อ้าว! อย่างงี้ก็ได้หรอ555 แล้วเราเลยหันไปถามเพื่อนว่า แกเป็นนางแบบไหม เพื่อนบอกไม่ สุดท้ายเราก็เลยเป็น นางแบบจำเป็น แบบงงๆ ด้วย แล้วก็ไม่ได้ขอดูภาพ ไม่ได้ขอภาพมาจากตากล้องคนนั้นด้วย555เดินกันจนเหนื่อยเพราะสถานที่กว้างใหญ่มากจริงๆ ก็เลยมาแวะพักดื่มน้ำก่อน เราสั่งมะนาวโซดา เพื่อนเราก็เลยสั่งบ้าง พอเราสองคนได้มะนาวโซดามา ดื่มน้ำเสร็จแล้วมองหน้ากัน ทำไมรสมันแปลกอ่ะ เพื่อนเราบอกว่ามันขมมะนาว แต่เราว่ามันเค็มโซดา เพื่อนเราเลยหันไปบอกพี่คนขายว่า 'ขอเพิ่มน้ำแดงให้หน่อยได้ไหมคะ มันไม่หวานเลย' แล้วก็ถามคนขายว่า 'พี่ไม่ใส่น้ำเชื่อมหรอคะ' คำตอบของพี่คนขายพาพวกเราเงิบและฮาไปพร้อมกัน 'อ้าว! ต้องใส่ด้วยหรอ มะนาวโซดา ก็มะนาวกับโซดาไง ฝรั่งเค้าก็กินแบบนี้' ถถถ พี่ หน้าน้องนี่เหมือนฝรั่งหรอ555 พวกเราเลยเล่าให้พี่เค้าฟังว่าเวลาสั่งมะนาวโซดาที่กทม.เนี่ยเค้าใส่น้ำเชื่อมหรือไม่ก็น้ำตาลด้วยนะ แล้วมีพี่คนนึงที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ตะโกนมาว่า 'คนกรุงเทพฯ ชอบกินหวานไง' พวกเราเลยรู้ว่าคนอุบลฯ ไม่ค่อยกินหวาน ไม่รู้ว่าเป็นทุกคนหรือเปล่านะ เพราะเพื่อนเราบอกว่าตั้งแต่เมื่อวานสั่งส้มตำก็ต้องขอน้ำตาลเพิ่ม เพราะรสออกไปทางเค็ม เปรี้ยวมากกว่า แต่เราก็เชื่อนะว่าชาวกรุงติดหวาน สั่งชานมกันวันละกี่แก้วอ่ะจ๊ะ ไหนบอกสิ อิอิเรากลับมาถึงที่พักด้วยความหิวมากกกกก ถึงปุ๊ปก็กินข้าวเช้าปั๊ป เพราะห้องอาหารเปิดให้บริการแล้ว คุณพนังงานเค้ากลัวเราไม่อิ่ม เพราะเมนูที่เป็นกับข้าวมีหมูส่วนใหญ่ ข้าวต้มก็มีหมู เลยสั่งให้ในครัวผัดผักมาให้เรา 1 จาน โห ซาบซึ้งเลยเนี่ย ทีนี้กินแบบอิ่มเกินอิ่มเลยจ้า เพราะก่อนหน้านี้เราก็กินขนมปังแยม ขนมปังกับไข่ดาวไปด้วย อย่างที่เค้าว่ากันว่า หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน เรากับเพื่อนเข้าห้องพัก หลับกันคนละงีบ ตื่นมาเช็คเอ้าท์ตอนใกล้ๆ เที่ยง แล้วไปเที่ยวต่อ ชิลป่ะละ อย่างนี้ละเที่ยวแบบไม่ต้องแพลนอะไรมาก เอาที่เราสบายใจเด้อ^^ชาร์จแบตให้ร่างกายเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้ว เราขอเพื่อนว่า เราอยากไปหาดหงส์กับหาดชมดาว แล้วเดี๋ยวตอนเย็นจะพาเพื่อนแวะไปที่วัดภูพร้าวก่อนกลับเข้าตัวเมืองอุบลฯขับออกจากที่พักมุ่งตรงสู่หาดหงส์ ระยะทางค่อนข้างไกลพอสมควร หาดหงส์หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า หาดทรายสูง ชื่อนี้เรียกตามสถานที่เลย เพราะมีการก่อตัวของสันทรายที่สูงขึ้นมาจากริมฝั่งแม่น้ำโขง ทำให้ที่นี่กลายเป็นทะเลทรายย่อส่วนตามจินตนาการและการถ่ายรูปของแต่ละคนได้เลยละแต่ก่อนเราจะได้ถ่ายรูปทะเลทราย รถเราดันติดหล่ม ล้อข้างหนึ่งจมไปในทรายตอนที่กำลังหาที่จอดรถ เพราะเราเผลอขับรถลงไปบนพื้นทรายละเอียด แล้วพอคิดได้ว่า เฮ้ย! เดี๋ยวรถมันจะออกไม่ได้ก็สายไปเสียแล้ว ลำบากเพื่อน คุณลุงที่อยู่แถวนั้น และนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องมาช่วยหาทางให้ล้อรถเราขึ้นจากทรายให้ได้ จนในที่สุดทุกคนก็ช่วยเราสำหรับ โดยการนำแผ่นไม้มารองที่ล้อไว้ ขอบคุณทุกคนมากจริงๆ ตอนนั้นก็พูดขอบคุณไปหลายรอบมาก^^พอเอารถขึ้นมาได้ หาที่จอดบนพื้นปูนได้ เรากับเพื่อนก็ถามกันว่าเอาไงต่อดี กินข้าวกลางวันเลยไหม เพราะตรงนั้นมีแพริมน้ำโขงให้นั่งทานอาหารชมวิวริมน้ำพอดีพวกเราเลยไปนั่งทานอาหารกลางวันกันก่อน บรรยากาศชิลดี มีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เล่นน้ำด้วย อารมณ์เหมือนอยู่ชายหาด แต่ที่นี่เป็นริมแม่น้ำโขง ไม่ใช่ทะเล นี่คือทะเลทรายเมืองอุบลฯ จ้าเราไปเที่ยวกันต่อที่หาดชมดาว หรือเรียกอีกชื่อว่า แก่งหินงาม เรารู้จักที่นี่หลังจากสามพันโบก ตอนที่ ททท. ทำโปรโมทที่นี่ในแคมเปญ 'เขาเล่าว่า...' ที่นี่เป็นอีกหนึ่งแกรนด์แคนยอนเมืองไทยที่สวยมากๆ เราขับรถเขาไปตามป้ายบอกทาง แต่เหมือนเช่นเคย เป็นโดดเดี่ยวผู้เดียวดายอีกแล้ว ขับเข้ามาคนเดียวบนถนนดินแดงที่เงียบมาก นักท่องเที่ยวเค้าไปไหนกันหม๊ดดด ขนาดขับเข้าไปจอดหน้าป้ายแก่งหินงาม ยังรู้สึกเหมือนที่นี่ไม่มีคนมาเที่ยวเลย เราเลยลงไปสำรวจสิ ไหนที่เที่ยว ไหนที่เค้าว่าสวย พอลงจากรถมีเด็กน้อยคนนึงเดินมาถามว่า 'ให้ผมนำเที่ยวไหมครับ' เราเลยถามว่า ตรงไหนที่เค้าไปเที่ยวกันอ่ะ ไกลไหม น้องชี้ลงไปข้างล่าง ไกลๆ นู้นนนนน โห...ไกลจริง ร้อนด้วย ไม่ไหวเดินอ่ะ เด็กน้อยรีบเสนอในทันใดว่ามีรถกระบะรับส่ง เหมาไปกลับ 300 บาทไปไหม ตอนนั้นคิดว่าแพงจัง แพงกว่าสามพันโบกอีก แต่ก็อยากไปอ่ะ เลยเดินไปบอกเพื่อนว่าเดี๋ยวเราออกค่ารถให้ ไปเที่ยวกันเถอะ อยากไป ก็เลยบอกให้น้องเรียกกระบะมารับก่อนเราจะขึ้นรถไปเที่ยวก็ขอหยิบร่มกับน้ำในรถก่อน เตรียมพร้อม อิอิ แล้วเพื่อนก็ทักเราว่า 'แกๆ มีนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มนึงมา เค้ากำลังดีลรถอยู่ ให้เค้าไปพร้อมเราเลยไหม' ไม่รอช้า ไปชวนเค้ามาหารค่ารถกันพอรถพาพวกเราลงไปด้านล่างผ่านแก่งหินต่างๆ และระยะทางที่ไกล้ไกล รู้เลยว่าที่บอก 300 แพง ตอนนี้ไม่แพงแล้วจ้า ทางลำบากจริง และรถก็มาส่งเราถึงจุดไฮไลท์เลยสำหรับที่หาดชมดาวเรากับเพื่อนก็ได้เพื่อนเที่ยวเพิ่ม ได้รู้จักเพื่อนใหม่ระหว่างการเดินทาง เสน่ห์ของการออกเดินทางมันอยู่ตรงนี้ละค่ะ เรียนรู้โลก เรียนรู้คน เปิดรับประสบการณ์ สิ่งใหม่ๆ และผู้คนใหม่ๆ ที่ผ่านเข้ามาหาเรา ^ ^เราออกเดินทางกันยาวๆ ย้อนกลับไปทางเดิมผ่านผาแต้ม และขับเลยไปอีกเพื่อเดินทางไปยังชายแดนช่องเม็ก จริงๆ เราไปไม่ถึงด่านช่องเม็ก ไปแค่วัดภูพร้าว แต่ถ้าขับเลยไปอีกนิดก็ถึงด่านช่องเม็กระยะทางไม่เกิน 1 กิโล ใกล้กันนิดเดียวแวะให้เพื่อนซื้อกระติบข้าวเหนียว เพราะเป็นงานหัตถกรรมขึ้นชื่อของที่นี่ ร้านที่เราแวะเป็นร้านริมทาง เปิดขายอยู่หน้าบ้านตัวเอง โดยคุณยายที่ขายเป็นคนสานกระติบเองเลย อุดหนุนงานฝีมือชาวบ้านที่แท้ทรูเรามาถึงวัดภูพร้าวพร้อมๆ กับรถอีกหลายคันที่ขับเรียงต่อกันขึ้นภูเขาไปจอดที่ลานจอดรถของวัด เราหาที่จอดได้ก็ขึ้นไปที่จุดชมวิวฝั่งลาว จุดชมดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า แต่ตอนนั้นดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้วเลยไม่เห็นอะไรมาก นอกจากเมฆ555 ภาพมันก็จะเบลอๆเรากับเพื่อนไปรอชมต้นกัลปพฤกษ์เรืองแสง เพราะทุกคนก็มารอชมเจ้าสิ่งนี้เช่นกัน วัดภูพร้าวหรือวัดเรืองแสงมีไฮไลท์อยู่ที่กัลปพฤกษ์เรืองแสงนี่ละค่ะ ต้องรอให้ฟ้ามืดสนิทถึงจะเห็นชัดได้เวลาเดินทางกลับเข้าตัวเมืองกันแล้วค่ะ คืนนี้เราจองที่พักแบบจ่ายเงินไปแล้วผ่าน Agoda เช่นเดิม เราขับรถกลับเข้าเมืองอุบลฯ ใช้คนละเส้นทางกับวันแรกที่ขับออกจากเมืองมาเที่ยว เป็นเส้นทาง 4 เลนขับสบายกว่าเยอะเลย แม้จะไม่มีไฟทางในบางช่วง แต่มีเพื่อนรถวิ่งบนถนนเป็นเพื่อนเราเยอะอยู่ ดีใจ ไม่ต้องเป็นโดดเดี่ยวผู้เดียวดายอีกแล้วขับรถใกล้ถึงตัวเมือง แวะเติมน้ำมันก่อน เลยถามพนักงานปั๊มว่าถนนคนเดินไปอีกไกลไหม เค้าบอกไม่ไกล เราก็ไปกันเลย ฝั่งตรงข้าม ถนนคนเดินทุ่งศรีเมือง มีลานให้จอดรถฟรีนะคะ ตอนแรกไม่รู้ไปหาที่จอดรถที่อื่นตั้งนาน สุดท้ายก็วนมาเจอที่นี่ละไปเดินเล่นหาของฝาก ของพื้นเมือง และที่สำคัญของกิน เราเจอร้านไก่ทอดมุสลิมด้วย ซื้อไก่ป๊อปกินซะเลย เดินๆ ไป ถนนคนเดินที่นี่เหมือนตลาดนัดขนาดใหญ่มากกว่า ไม่ค่อยมีของพื้นเมือง ของดีเมืองอุบลฯ หรือของฝากก็ไม่ค่อยมี แต่เราก็ได้ถุงใส่เงินผ้าขาวม้า และตระกร้าสานกลับมา สองอย่างนี้ ถือเป็นของฝากจากเมืองอุบลฯ ได้อยู่ อิอิคืนนี้เรานอนกันที่ B2 อุบลราชธานี เป็นห้องสำหรับ 3 คน แต่เรามากัน 2 คน^^ ห้องก็ประมาณนี้ค่ะเรานอนเตียงตรงข้างบน นอนๆ อยู่รู้สึกเหมือนจะกลิ้งตกเตียงทุกที555พรุ่งนี้เราบินกลับไฟล์ทเช้า น่าจะไฟล์ทหกโมงกว่าๆ มั้ง จำไม่ได้ละ เเต่สายการบินส่งข้อความมาเลื่อนไฟล์ทเป็น 9 โมงแทน ไฟล์ทดีเลย์สำหรับครั้งนี้ถือว่าดี ได้นอนเพิ่มเช้าวันสุดท้ายเราคืนรถที่สนามบิน และได้เงินมัดจำคืนเรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไร การเดินทาง 2 วันเต็มกับระยะทางยาวไกล เราเติมน้ำมันแค่ 1 ครั้งถ้วน เต็มถัง 900 บาท เราเช่า Nissan March ลืมบอกไป ค่าเสียหายทั้งหมดสำหรับทริปนี้ประมาณ 4,500 บาท ไม่เกิน 5,000 บาท ประมาณนี้ค่ะ จบทริปแล้วจ๊ะ ฝากแชร์เรื่องเล่าของเราด้วยนะ และฝากติดตามเรื่องเล่าทริปต่อไปของเราด้วยค่ะ^^ WAN WANDER