ทริปลากสังขารไปขึ้นภูกระดึง เกิดขึ้นมาเพราะเราแพลนเอาไว้กับเพื่อนตั้งแต่ปี 1 แต่ก็ไม่มีเวลาได้ไปจริงๆ จนกระทั่งวันที่สอบไฟนอลเสร็จ จึงตัดสินใจพากันเก็บกระเป๋าตรงดิ่งไปที่หมอชิตทันที แม้สภาพของนักรบไฟนอลที่เพิ่งผ่านสมรภูมิการสอบมาหมาดๆ จะไม่ค่อยพร้อมสักเท่าไร การเดินทางไปภูกระดึง - รถทัวร์กรุงเทพ-เลย โดยบอกคนขายตั๋วว่าลงผานกเค้าหรือร้านเจ๊กิม - รถสองแถวเข้าอุทยานแห่งชาติภูกระดึงคันละ 300 หรือจะรอหารกับคนอื่นๆ ก็ได้ รถจะจอดอยู่ข้างร้านเจ๊กิมเลย ลุงคนขับก็จะพาเราไปส่งถึงหน้าอาคารที่อุทยาน จัดการเรื่องเอกสารซื้อประกัน จองเต้นท์เรียบร้อยแล้ว ก็ขึ้นเลย... สำหรับพวกเราไม่จ้างลูกหาบค่ะ แบกเป้สัมภาระขึ้นไปด้วยเลยเสียชื่อสายแทร็กกิ้งหมด น้ำหนักเป้เนาะๆ ของเราอยู่ที่ 11 กิโลกรัม ระหว่างทางขึ้นมาได้เจอแม่ค้าที่กำลังแบกของขึ้นไปขาย ได้พูดคุยกันสักนิดจนรู้ว่า ซำแฮกเป็นเหมือนเส้นทางวัดใจว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ เพราะเส้นทางชันตลอดไม่มีทางเรียบให้พักเลย ผ่านตรงนี้มาได้ก็มีเส้นทางลาดชันสลับกับทางเดินเรียบๆ ไปตลอดจนกกระทั้งถึงหลังแป จุดเช็กอินจุดที่ 1 ว่าครั้งหนึ่งเราคือผู้พิชิตภูกระดึง จุดเช็กอินจุดที่ 2 ต้นสนผู้เดียวดาย ซึ่งอยู่ระหว่างทางเดินไปลานกางเต้นท์ รอบๆ บริเวณกางเต้นท์มีร้านอาหารอยู่หลายร้าน บางร้านก็มีบริการชาร์ตแบตโทรศัพท์ฟรีด้วย อาหารก็อยู่ในเรทราคาใกล้ๆ กัน 60-70 บาท และวันที่ 1 ก็จบลงอุณหภูมิไปประมาณ 9 องศาเซลเซียส การเที่ยวบนยอดภูกระดึงพวกเราได้เช่าจักรยานเสือภูเขามาปั่นกัน บอกเลยว่ามันสนุกมากกกก จุดแรกที่เราไปถึงก็คือน้ำตกถ้ำใหญ่ จุดที่มีใบเมเปิ้ลเปลี่ยนสี เปรียบสเมือนไฮไลท์ที่พวกเราอยากเจอเลยก็ว่าได้ จากนั้นเราก็ปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ จุดหมายของเราก็คือผาหล่มสัก แต่ก็ไม่พลาดที่จะแวะถ่ายรูปเก็บตามผาต่างๆ ซึ่งบอกเลยว่ามันสวยไม่แพ้กันเลย ในตอนเย็นที่ผาหล่มสักเป็นผายอดฮิตสำหรับดูพระอาทิตย์ตกดิน ดังนั้นพวกเราจึงเรียกปั่นจักรยานคันใหญ่มาดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหมากดูก ป้าแม่ค้าให้ยืมเสื่อมาปูนั่งด้วย ขอบคุณมากนะคะ : ) พวกเราตื่นแต่เช้ามืดเพื่อที่จะเรากลุ่มกับคนอื่นๆ ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่น แหม.. เหมือนฟ้าแกล้งกันฝนตกซะงั้น เรามารอลุ้นว่าฟ้ามันจะเปิดไหม และมันก็เปิด! พระอาทิตย์ขึ้นทางในตัวอำเภอ แสงส้มอ่อนๆ แซมกับท้องฟ้าสีม่วงปนเทาไล่เฉดสีกันก่อนจะค่อยๆ สว่างขึ้นมันสวยมาก ถือว่าเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นวันใหม่ที่ดีเลยแหละ การได้ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ก็เปรียบเสมือนกับการค้นพบโลกใบใหม่ ที่มีสายลม แสงแดด ต้นไม้ใหญ่ ต่างจากป่าคอนกรีตในเมืองใหญ่อย่างสิ้นเชิง ดังนั้นออกไปเถอะ... แล้วจะพบโลกอีกใบ ปล่อยให้ธรรมชาติช่วยฟื้นฟูเราหลังจากที่ผ่านเรื่องต่างๆ มาอย่างหนักหน่วง ชาร์ตพลังจนเต็มหลอดแล้วกับมาสู้กับเหตุการณ์ต่างๆ ไว้โลกหายดีเมื่อไหร่ เรากลับที่นี่อีกครั้งนะ เรื่องและภาพโดย __1999s