รีเซต

มาชู ปิกชู อารยธรรมที่ล่มสลายด้วยโรคระบาด เมืองสาบสูญแห่งอินคา

มาชู ปิกชู อารยธรรมที่ล่มสลายด้วยโรคระบาด เมืองสาบสูญแห่งอินคา
เอิงเอย
31 มีนาคม 2563 ( 17:00 )
62.7K
10

      มาชู ปิกชู (Machu Picchu) หรือ เมืองสาบสูญแห่งอินคา เป็นหนึ่งในอารยธรรมโบราณของโลก ที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่กลับล่มสลายด้วยภัยร้ายจาก โรคระบาด และการล่าอาณาคมของสเปน จนเมืองแห่งนี้ก็ได้หายสาบสูญไปกว่า 3 ศตวรรษ

 

 

      มาชู ปิกชู ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศเปรู ด้วยพิกัดที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,350 เมตร จึงยากที่จะเข้าถึง เพราะตั้งอยู่บนที่ราบสูงแอนดิส ลึกเข้าไปในป่าแอมะมซอน และอยู่เหนือแม่น้ำอุรุบัมบา เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างของอารยธรรมอินคา ซึ่งเป็นอารยธรรมที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาใต้ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 และแผ่ขยายอาณาเขตครอบคลุมประเทศเปรู ประเทศเอกวาดอร์ ตอนใต้ของประเทศโคลอมเบีย ภาคตะวันตกและภาคใต้ของประเทศโบลิเวีย ตอนเหนือของประเทศชิลี และบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอาร์เจนตินา

      กษัตริย์ของชาวอินคา ถูกยกย่องให้เป็น “บุตรของพระอาทิตย์” เพราะชาวอินคา เชื่อในเรื่องของ ดวงอาทิตย์ ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ นับถือ ดวงจันทร์ ดาว และโลก

 

 

      หลังจากเมืองนี้ไปสาญสูญไปถึง 3 ศตวรรษ ก็ถูกค้นพบโดยนักโบราณคดีชาวอเมริกัน ไฮแรม บิงแฮม (Hiram Bingham) ในปี ค.ศ. 1911 ทำให้เมืองนี้กลับมาเป็นที่รู้จักของชาวโลกอีกครั้ง

       อารยธรรมโบราณแห่งนี้ ถูกสร้างเป็นลักษณะขั้นบันไดไล่ลงมาตามความชันของหุบเขา แต่ละชั้นสูง 3 เมตร มีจำนวนทั้งหมด 40 ชั้น ซึ่งถูกเชื่อมถึงกันด้วยบันไดกว่า 3,000 ขั้น และมีสิ่งก่อสร้างซึ่งสร้างด้วยหินกว่า 200 หลัง เป็นสิ่งก่อสร้างที่น่าอัศจรรย์ใจบนเทือกเขาสูงเช่นนี้

 


มาชู ปิกชู สร้างขึ้นเพืออะไร ?

 

 

      มีการนำเสนอสมมติฐานว่า มาชู ปิกชู เคยถูกปกครองโดยนักบวชของลัทธิบูชาสุริยะ และมีการทำพิธีถวายหญิงสาวเป็นเครื่องสังเวยแก่พระเจ้าของพวกเขา อีกทั้งที่นี่ยังเป็นป้อมปราการสุดท้ายของชาวอินคาที่ต่อสู้กับชาวสเปนอีกด้วย

      นอกจากนี้ยังมีอีกหลายข้อสันนิษฐาน คือ มาชู ปิกชู น่าจะเป็นที่อาศัยของนักบวชเพื่อใช้ในการสังเกตการณ์การโคจรของดวงอาทิตย์ เป็นสถานที่จำลองตำนานกำเนิดโลก และจักรวาลตามความเชื่อของชาวอินคา เนื่องจากมีหน้าต่างซึ่งดวงอาทิตย์จะโคจรมาอยู่ตรงกลางพอดีในวันสิ้นสุดฤดูร้อน และวันสิ้นสุดฤดูหนาว ส่วนแท่นบูชายัน น่าจะมีไว้เพื่อเป็นหอสังเกตการณ์การวงโคจรของดวงอาทิตย์เช่นกัน

 

 

      หรืออีกสมมติฐานที่กล่าวว่า มาชู ปิกชู อาจจะไม่ได้เป็นเมืองเลยก็ได้ ที่นี่น่าจะเป็นที่พักตากอากาศสำหรับเชื้อพระวงศ์ในช่วงฤดูแล้ง เพราะมาชูปิกชูประกอบด้วยราชวัง ซึ่งมีวิหารและคฤหาสน์ล้อมอยู่รอบๆ ซึ่งรวมไปถึงที่พักของผู้ทำงานในสถานที่นั้นๆ ด้วย

       คาดว่าในหน้าฝนหรือช่วงที่ไม่มีเชื้อพระวงศ์มาพัก ที่นี่น่าจะมีผู้อาศัยอยู่ไม่เกิน 750 คน และเมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดย ปาชากูตี กษัติรย์แห่งอาณาจักรอินคาในช่วงปี 1440 และน่าจะมีผู้อาศัยอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งถูกชาวสเปนมายึดดินแดนในอีก 80 ปีให้หลัง

 

 

การบูชายันมนุษย์ ที่ มาชู ปิกชู ?

 

       จากหลักฐานที่ค้นพบ เป็นไปได้น้อยมาก ที่จะมีการบูชายันมนุษย์ขึ้นที่ มาชู ปิกชู อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานว่า มีการบูชายันสัตว์ ที่แท่นบูชาคอนดอล์ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อในเรื่องของโลกหลังความตาย โดยเมื่อขุนนางผู้ล่วงลับไปยังชีวิตหลังความตาย จะต้องมีผู้ติดตามถูกบูชายันให้ไปยังโลกหลังความตายด้วย

 


หุบเขาศักดิ์สิทธิ์ บนรอยเลื่อนของโลก

 

      นักโบราณคดีหลายคนตั้งข้อสงสัยในความลักลับของ มาชู ปิกชู ทั้งเรื่องของที่ตั้ง และการก่อสร้าง จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครสรุปได้อย่างชัดเจนว่า มาชู ปิกชู สร้างขึ้นมาทำไม เพื่ออะไร และเหตุใดต้องสร้างอยู่บนเทือกเขาสูงขนาดนั้น

      ล่าสุดมีผู้เสนอผลการศึกษาทางธรณีวิทยา ที่เป็นไปได้ว่า ชาวอินคาเลือกบริเวณแอนดิส หรือ หุบเขาศักดิ์สิทธิ์ แห่งนี้ เพราะมีรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลก และรอยแยกของพื้นหินตัดกันเป็นเครื่องหมายรูปกากบาท (X) เช่นเดียวกับเมืองโบราณแห่งสำคัญอื่นๆ ของอาณาจักรอินคา

 

 

      จากภาพถ่ายดาวเทียม ยิ่งยืนยันได้อย่างชัดเจนว่า มาชูปิกชูถูกสร้างอยู่บนรอยเลื่อน และรอยแยกลักษณะดังกล่าว นั่นเพราะตามแนวรอยเลื่อนของแผ่นเปลือกโลก ที่มีเทือกเขาสูง จะมีแหล่งหินเก่าแก่ตามธรรมชาติ ทำให้ชาวอินคาสามารถสร้างกำแพง ขั้นบันได และตัวอาคารได้อย่างง่ายดายโดยใช้การตัด และเรียงหิน

 

โรคระบาด และการล่มสลาย

 

       อาณาจักรอินคาที่รุ่งเรืองมาหลายศตวรรษ ต้องมีเหตุให้ล่มสลายลงในปี ค.ศ.1532 เนื่องจากความอ่อนแอ และความวุ่นวายของเมืองหลวง ที่มีสงครามแย่งชิงบัลลังก์กันในราชวงศ์ อีกทั้งโรคระบาด ที่เป็นภัยร้ายคุกคามไปทั้งอาณาจักรอย่าง โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ เป็นโรคติดต่อร้ายแรง ที่มีลักษณะเฉพาะ คือมีผื่นขึ้นตามตัว
คนผิวขาวจากตะวันตก ได้นำโรคฝีดาษไปแพร่ระบาดแก่คนพื้นเมืองในอเมริกาใต้อย่างรุนแรง ชนพื้นเมืองที่ไม่มีภูมิคุ้มกันโรค เลยต้องตายเป็นจำนวนมากจนแทบอาณาจักรล่มสลาย

 

 

       อีกทั้งยังมีกองทหารล่าอาณานิคม ฟรันซิสโก ปีซาร์โร ชาวสเปน ได้พากองทัพมายังเมืองกาคามาร์กาเพื่อยึดครองดินแดน อย่างไรก็ตาม ชนพื้นเมือง ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับกองทัพแห่งสเปนได้ ทำให้ อาตาอวลปา กษัติรย์แห่งอาณาจักรอินคาจึงถูกจับกุมตัวในที่สุด

       แม้ว่าชาวอินคา จะสามารถหาค่าไถ่มาได้เป็นทองมหาศาล แต่ปีซาร์โรกลับไม่ยอมปล่อยตัวประกันตามสัญญา และหาข้ออ้างประหารอาตาอวลปาในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1533 จึงเป็นการล่มสลายของอาณาจักรอินคาอย่างสมบูรณ์

 


มรดกโลก แห่งอาณาจักรอินคา

สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

 

 

        ความยิ่งใหญ่ของ มาชู ปิกชู ซึ่งเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญของอาณาจักรอินคา ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1983 โดย UNESCO อีกทั้ง 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 มาชูปิกชูได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ทำให้มาชู ปิกชู เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมไปศึกษาประวัติศาสตร์ และกลายมาเป็นสถานท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดของเปรู และเพื่อการอนุรักษ์ทางการจึงอนุญาตให้นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยังยอดเขา มาชู ปิกชู ได้เพียง 800 คนต่อวันเท่านั้น

 

การเดินทางไป มาชู ปิกชู

 

       การเดินทางไปยัง มาชู ปิกชู บนเทือกเขาที่สูงขนาดนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ การเตรียมพร้อมร่างกายจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เนื่องจากเมืองสาญสูยแห่งอินคานี้ ตั้งอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,350 เมตร อากาศนั้นจะเบาบาง และทำให้เหนื่อยง่าย ยังไม่รวมถึงเส้นทางสุดโหดที่นักผจญภัยยังต้องท้อ และการเข้าชมนั้นจะต้องมีไกด์ท้องถิ่นนำทางไปเท่านั้น โดยที่ ยอดเขามาชู ปิกชู จะสามารถขึ้นได้วันละ 2 รอบ รอบละ 400 คน

      สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเช้าชม จะอยู่ระหว่างเดือนเมษายน-ตุลาคม ของทุกปี เพราะในเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม จะเป็นช่วงที่มีฝนตก จึงไม่เหมาะกับการเดินป่า

 

 

       จนในปัจจุบันนี้ มาชู ปิกชู ไม่ได้เป็นแค่ร่องรอยของอารยธรรมโลกที่เสื่อมไปตามกาลเวลา แต่เป็นจุดหมายหนึ่งของการท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับ 1 ในทวีปอเมริกาใต้ ที่นักท่องเที่ยว ผู้รักการผจญภัยใฝ่ฝันอยากจะไปถึง อีกทั้งยังเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยความลึกลับ และน่าค้นหา