.......ปอยเหลินสิบเอ็ด แปลตามตัวว่า งานบุญเดือนสิบเอ็ด ซึ่งตรงกับวันออกพรรษา ประเพณีนี้จัดขึ้นตั้งแต่วันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ไปจนถึง วันแรม 8 ค่ำเดือน 11 ของทุกปี เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นจนใกล้จะถึงวันงาน ชาวบ้านแต่ละหลังจะช่วยกันทำซุ้มปราสาท หรือจองพารา ซึ่งสอดสานขึ้นริ้วไม้ไผ่ ที่บรรจงเหลาอย่างประณีต ประดับตกแต่งด้วยกระดาษหลากสีสันให้สวยงาม เพื่อนำมารับเสด็จพระพุทธองค์ ภาพบรรยากาศชาวบ้านร่วมใจกันทำจองพาราที่วัดหรือที่บ้านของตน ภาพเหล่านี้ถูกฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปีแล้วปีเล่า จากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน แม้จะเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญที่อยู่ใจกลางเมืองมรดกทางประเพณีนี้ยังไม่เคยลบเลือนจางหายไป ........ก่อนจะถึงวันเพ็ญเดือน 11 ตลาดสายหยุด อันเป็นศูนย์กลางการซื้อขายของแม่ฮ่องสอน จะคึกคักคลาคล่ำเป็นพิเศษ ด้วยพ่อค้าแม่ค้าต่างถิ่นที่ขนสินค้าใส่รถบรรทุกมาจำหน่าย เสียงวงกลองยาวไทใหญ่ที่เริ่มซักซ้อมบรรเลงอย่างครื้นเครง ดังขึ้นพร้อมเพรียงกันทั่วเมืองแม่ฮ่องสอน ชาวไทใหญ่ต่างพากันมาจับจ่ายซื้อสินค้า เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบทำอาหาร ถวายทาน ในงานปอยเหลินสิบเอ็ดที่จะถึง พอตกค่ำทุกคนจะแต่งกายงดงามด้วยชุดไตหรือชุดไทใหญ่ อันเป็นเอกลักษณ์และความภาคภูมิใจไปร่วมงานแห่จองพาราตามถนนสายหลักของเมือง เสียงกลองผสานกับเสียงกังวานของจีเจ่หรือกังสดาล ก้องสะท้อนปลุกศรัทธาผู้คนที่อยู่ในบ้านให้ออกมารื่นเริงอย่างพร้อมหน้า บ้างฟ้อนไต ฟ้อนดาบ รำหม่อง มองเซิงกันเป็นที่สนุกสนาน บ้างแต่งกายจำลองเป็นสัตว์ป่าหิมพานต์ตามความเชื่อของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ฟ้อนนกกิ่งกะหล่าหรือกินนร ฟ้อนโตซึ่งมีหน้าตามีเขาคล้ายกวาง มีขนยาวเหมือนจามรี แล้วเสกชุบชีวิตด้วยท่วงท่ากระบวนเชิดอย่างมีจิตวิญญาณ ชาวไทใหญ่เชื่อว่าสัตว์หิมพานต์เหล่านี้มาแสดงความสาธุการในพุทธบารมี และด้วยพุทธานุภาพแห่งฉัพพรรณรังสี ทำให้มนุษย์สามารถมองเห็นสัตว์หิมพานต์เหล่านี้ได้ ........ในช่วงเช้าของวันออกพรรษาผู้คนแต่งกายงดงาม พร้อมอาหารคาวหวานคลาคล่ำตรงเชิงเขา ซึ่งพระภิกษุ สามเณร จะเดินตามเชิงบันไดวัดพระธาตุดอยกองมูซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขา บันไดนับพันขั้นทอดยาวลงมาบรรจบกับวัดม่วยต่ออันเป็นเชิงเขาลูกเดียวกัน เป็นการจำลองเหตุการณ์เสด็จจากดาวดึงส์ของพระพุทธองค์ได้อย่างงดงาม ท่ามกลางสายหมอกยามเช้าที่โอบล้อมยอดเขาเสมือนปุยเมฆบนสวรรค์ ภิกษุ สามเณรนับร้อยค่อย ๆ ก้าวเป็นทิวแถวอย่างเป็นระเบียบลงมาตามบันได ตัดกับสีเขียวขจีของป่าไม้ปลายฝน สร้างความเอิบอิ่มให้แก่ผู้ที่เฝ้าคอย ความปลื้มปิติเปี่ยมสุขแสดงได้ชัดผ่านสีหน้าแววตา แม้แต่ผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมตักบาตรเทโวโรหณะก็จะนำจองพาราที่ทำขึ้นจากความศรัทธาอันเปี่ยมล้น มาวางไว้ที่หน้าบ้านเพื่อรอรับฉัพพรรณรังสีซึ่งเปล่งออกมาจากพระวรกายของพระพุทธองค์ ให้สาดส่องไปถึงจองพาราของทุกบ้านเรือน .......จองพาราของแต่ละบ้านจะนำหน่อกล้วย อ้อย โคมไฟมาประดับ บางบ้านยังนำผลไม้ ธูปเทียน ข้าวตอก มาใส่ไว้ภายในเพื่อถวายแด่เทวดา เมื่อล่วงเลยเวลา 3 - 7 วันจึงจะนำมาแบ่งปันลูกหลานให้รับประทานเพื่อความเป็นสิริมงคล ร่มเย็นเป็นสุข ตลอดเจ็ดวันบ้านทุกหลังจะสว่างไสวด้วยแสงเทียนที่จุดไว้หน้าบ้าน จนถึงวันสุดท้ายของปอยเหลินสิบเอ็ดจะจัดหลู่เต็นเหล็งหรือแห่เทียนพันเล่มไปจุดยังลานวัด ซึ่งเป็นทียนเล่มใหญ่ทำขึ้นจากซีกไม้สนป่าอันเล็ก หรือที่เรียกว่า ไม้แปก เอามาผูกร้อยเรียงขึ้นจนเป็นเทียนเล่มใหญ่ขนาด 3 - 5 เมตร ซึ่งนับว่าเป็นกุศโลบายที่มุ่งเน้นให้ประชาชนชาวไทใหญ่มีความสามัคคี และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เสมือนต้นเทียนเล่มใหญ่ที่มาจากการอุทิศตนของทุกซีกไม้ ......อัญมณีอันล้ำค่าทางวัฒนธรรมยังคงส่องประกายความงาม ท้าทายการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งเทคโนโลยี แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจของชาวไทใหญ่ ที่ยังคงยึดมั่นในคุณค่าแห่งรากเหง้าและความศรัทธาอย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลงให้คงอยู่และสืบสานสู่รุ่นต่อ ๆ ไป ข้อมูลอ้างอิง เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน ภาพ ผู้เขียน / คุณอรรถพล ศรีจันทร์ / ปชส.เทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน