เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาวเป็นสัญญาณของความคึกคัก และหัวใจที่พองโตของใครหลาย ๆ คน ที่นับวันรอเวลาหยุดจากการทำงานมาพักผ่อนสูดอากาศบริสุทธิ์บนยอดดอย เพื่อเป็นการเติมพลังชีวิตก่อนกลับไปสู้ชีวิต กับการทำงานประจำอันแสนท้าทาย ปลายเดือนกุมภาพันธ์เป็นช่วงเวลาของปลายฤดูหนาว ที่อากาศเริ่มเย็นคงที่อันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ดอกไม้และพืชพันธุ์เมืองหนาวพร้อมจะผลิดอกออกผลให้นักท่องเที่ยวได้ยินยลชมโฉม ซึ่งช่วงปลายฤดูหนาวเช่นนี้นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดกับการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเก็บภาพบรรยากาศสวย ๆ ของธรรมชาติด้วยเพราะสถานที่ท่องเที่ยงเริ่มมีผู้คนมาเยือนบางตา การเดินทางเพื่อไปยลโฉมงาม “ซากุระสีชมพู” ของผมจึงเริ่มขึ้น ณ ดินแดนดอยสูงแห่งนี้ ที่นี่ “ดอยอ่างขาง” “ดอยอ่างขาง” ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้านคุ้ม ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่ดอยครอบคลุมพื้นที่ทดลองการเกษตรเมืองหนาวที่เรียกว่า “ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงอ่างขาง” ซึ่งภายในศูนย์มีแปลงสาธิตการทดลองปลูกพืชผลและดอกไม้เมืองหนาวหลากหลายชนิด โดยนักท่องเที่ยวสามารถมาพักผ่อนในพื้นที่โครงการหลวงได้ หรือจะจับจองที่พักของเอกชนบริเวณด้านหน้าทางเข้าโครงการก็มีให้เลือกมากมาย ค่าเข้าชมภายในโครงการหลวงเสียค่าเข้าคนละ 30 บาท ค่าพาหนะอีก 50 บาท รวมเป็น 80 บาท ส่วนกรณีที่จะพักค้างคืนในโครงการหลวงจะไม่เสียค่าเข้าชมครับ การเดินทางไปดอยอ่างขาง จากตัวเมืองเชียงใหม่ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงกับระยะทางประมาณ 260 กิโลเมตร หากจะเดินทางด้วยจักรยานยนต์ระบบเกียร์อัตโนมัติ แนะนำให้ใช้เส้นทางถนนสาย 107 ผ่านอำเภอแม่ริม วิ่งตรงสู่อำเภอเชียงดาว เมื่อถึงแยกเมืองงาย ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 1178 เมื่อถึงแยกเมืองนะ ให้เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนหมายเลข 1340 ไปสู่บ้านอรุโณทัย ( หากเลี้ยวไปทางขวายึดตามถนนสาย 1178 เส้นนี้จะไปทะลุอำเภอเวียงแหง ที่ตำบลเปียงหลวงได้ครับ แต่มีเส้นทางอยู่ช่วงหนึ่งระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรที่สภาพถนนชำรุดพื้นกร่อนเป็นหินแกรนิตตลอดช่วง แต่ถนนเส้นนี้วิวสวยมากครับ และผมจะพาไปเที่ยวในทริปถัด ๆ ไปนะครับ ) การเดินทางผ่านเส้นทางบ้านอรุโณทัย มี 2 ทางเลือกให้ตัดสินใจครับ เพราะก่อนเดินทางขึ้นดอยอ่างขาง ผมอยากให้ทุกคนได้มาสัมผัสกับบรรยากาศยามเช้าที่ "ริมทะเลสาบบ้านอรุโณทัย" กันเสียก่อน โดยทางเลือกที่ 1 ควรออกเดินทางตั้งแต่เวลาประมาณ 5.00 น. เพื่อที่จะได้มาถึงบ้านอรุโณทัยประมาณ 6.30 น. ซึ่งจะได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นสาดแสงสีทองกระทบละอองไอหมอกเหนือทะเลสาบ บรรยากาศสวยงามไม่แพ้จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นบนดอยเลยครับ แถมยังมีกลิ่นอายของความเป็นเมืองคุนหมิงของจีนอยู่เล็กน้อย หรือ ทางเลือกที่ 2 เดินทางออกจากเชียงใหม่ประมาณ 16.30 น. เพื่อมาถึงบ้านอรุโณทัยประมาณ 17.30 น. ซึ่งสามารถหาที่พักค้างคืนดี ๆ ในราคาที่ไม่แพง ที่นี่มีให้เลือกหลายรีสอร์ท และหากมาถึงในช่วงเย็น ก็จะได้ชมบรรยากาศในยามเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกพร้อมกับได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นในยามเช้าด้วย โดยครั้งนี้ผมเลือกที่จะเดินทางในทางเลือกที่ 2 เพราะเพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้เต็มที่ไปเลย รุ่งเช้าวันใหม่ 8 นาฬิกา 30 นาที ผมออกเดินทางจากบ้านอรุโณทัย ซึ่งจากจุดนี้ต้องขึ้นดอยตลอดด้วยระยะทางประมาณ 42 กิโลเมตร บรรยากาศยามเช้าชีวิตผู้คนสัญจรไปมาออกมาทำมาหากิน เด็ก ๆ เดินทางไปโรงเรียน วิถีชนบทที่ไม่พลุกพล่านเหมือนในเมืองกำลังผ่านไปอย่างเนิบช้า ภาพที่เห็นทำให้อิ่มเอมใจส่งผลให้อากาศที่เริ่มหนาวได้คลายอุ่นโดยไม่รู้ตัว ผมขี่จักรยานยนต์คู่ใจลัดเลาะป่าเขามาเรื่อย ๆ ด้วยความระมัดระวัง ไฟหน้ารถที่เริ่มเห็นลำแสงส่องสว่างเนื่องจากหมอกเริ่มลงจัด เมื่อถึงทางโค้งหักศอกจึงต้องบีบแตรให้สัญญาณกับพาหนะที่สวนทางลงมาเป็นระยะ ๆ เดินทางมาได้สักครึ่งทางก็ต้องขอพักจิบชาอุ่น ๆ ให้คลายหนาวสักหน่อย จากนั้นขี่รถมาอีก 20 กิโลเมตร สายหมอกเริ่มจางเลือนหายไปบ้าง แต่เมื่อพอเข้าระยะ 10 กิโลเมตรก่อนที่จะถึงตัวที่ทำการดอยอ่างขางหมอกก็ลงจัดอีกครั้ง ประมาณ 10 นาฬิกา ก็เดินทางมาถึงเนินทางแยกถนนหมายเลข 1340 ที่เชื่อมต่อกับถนนหมายเลข 1249 ( ซึ่งเส้นทางนี้ห้ามรถจักรยานยนต์เกียร์อัตโนมัติขึ้น-ลง นะครับ เป็นเหตุผลที่ผมแนะนำให้ใช้เส้นทางมาทางบ้านอรุโณทัยครับ ) ขี่รถขึ้นเนินก็จะเป็นถนนทางราบที่ขนานสันเขาไปเรื่อย ๆ ประมาณ 7 กิโลเมตร ไม่นานนักเส้นทางก็เริ่มไล่ระดับต่ำลงมุ่งสู่หน้าที่ทำการ “ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงอ่างขาง” จัดแจงซื้อบัตรเข้าชมเรียบร้อย ผมขี่รถวนเป็นวงกลมโดยเริ่มจากทางขวาก่อน ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าที่มีต้นซากุระสายพันธุ์ญี่ปุ่นของแท้ ปลูกเรียงรายและออกดอกเบ่งบานสะพรั่งสีชมพูสดพร้อมกันทุกต้นซึ่งทางโครงการหลวงได้ปลูกมานานนับสิบปีแล้ว ก็ทำให้คลายหายเหนื่อย ภาพดอกซากุระที่เบ่งบานสะพรั่งสีชมพูไปทุกต้นตลอดริมเส้นทางถนน กับผู้คนที่นับจำนวนได้บางตาเป็นอย่างมาก ทำให้บรรยากาศช่างเป็นใจให้ได้เก็บเกี่ยวภาพประทับใจในมุมสวย ๆ เสียจริง ๆ ขี่รถวนต่อไปก่อนถึงสวน 80 ก็ได้พบกับทิวแถวต้นเมเปิลที่ใบกำลังจะเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว และย้อนกลับมาทางซ้ายเพื่อไปยังทางออก ซึ่งจากจุดนี้เป็นอีกจุดหนึ่งก่อนถึงทางออก ที่จะปรากฏภาพของทิวแถวต้นซากุระที่เบ่งบานสีชมพูพร้อมกันทุกต้นในระยะทางเกือบ 1.5 กิโลเมตร ผมใช้เวลาดื่มด่ำกับความงามของเจ้าดอกซากุระอยู่เนิ่นนาน จนเวลาเลยผ่านมาเกือบเที่ยงตรง จึงได้ฤกษ์ขยับตนออกจากถนนเส้นสีชมพูในครั้งนี้ ก่อนที่จะขี่รถออกจากพื้นที่โครงการหลวง ผมได้แวะชมความงามของทุ่งดอกคาโมมาย ที่ชูช่อดอกสีเหลืองขาวเป็นลานทุ่งกว้าง ปะทะสายลมหนาวพริ้วไหวราวกับเชื้อเชิญให้ผมเดินเข้าไปเชยชม ไม่ช้านานก็ได้เวลาเดินทางออกจากโครงการหลวง และก่อนลงทางสันดอยเพื่อเลี้ยวขวากลับไปยังถนนเส้น 1340 ผมแวะรับประทานอาหารกลางวัน พร้อมปาท่องโก๋ราดนมกับกาแฟอุ่น ๆ สักแก้ว เพื่อเติมพลังและรีบเดินทางกลับเพราะเกรงว่าจะเดินทางเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ค่ำ ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้เพราะเส้นทางคดเคี้ยวและไกลพอสมควร และตรงบริเวณนี้จะเป็นจุดกลางเต็นท์ค้างแรมที่มีร้านค้าจำหน่ายอาหารให้เลือกหลายร้าน และสามารถเดินไปชมวิวทิวทัศน์ได้ตรงจุดลานจอดเฮลิคอปเตอร์ตรงด้านล่างถัดไปไม่ไกลนัก จากจุดนี้จะเห็นความคดเคี้ยวของถนนหมายเลข 1249 ที่ลัดเลาะวกวนพันขอบเขตเหลี่ยมเขามุ่งไปอำเภอฝาง และเชื่อมต่อกับถนนหมายเลข 107 การเดินทางทุกครั้ง สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักและให้ความสำคัญโดยเฉพาะจักรยานยนต์ต้องไม่ลืมสวมหมวกกันน็อค และอีกหนึ่งเรื่องที่ผมอยากจะแนะนำ ก็คือ การสำรองน้ำมันเอาไว้ในยามฉุกเฉิน โดยขอแนะนำให้เติมน้ำมันใส่ขวดน้ำขนาด 1.5 ลิตร พกติดรถเอาไว้สักหน่อย ซึ่งจะช่วยให้การเดินทางราบรื่นขึ้นครับ เพราะว่าหากเสี่ยงไปวัดดวงหาสถานีเติมน้ำมันเอาข้าง หน้ากับเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยในขณะที่น้ำมันใกล้จะหมด และหากน้ำมันหมดกลางทางป่าดงขึ้นมาคงจะแย่แน่ ๆ เลยล่ะครับ จบทริป 2 วัน 1 คืน กับการเดินทางออกตามหาเส้นทางสีชมพู “เมื่อดอกซากุระบาน” ณ ดอยอ่างขาง เพียงเท่านี้ สวัสดีครับ