หลายคนเห็นชื่อทริปอาจสงสัยว่าเรานั่งเสลี่ยงไปเชียงคานจริง ๆ เหรอ? ขอบอกว่า... ไม่จริง เพราะถ้าคงได้นั่งข้ามปีแน่ ๆ 5555 แต่ที่บอกว่านั่งเสลี่ยงก็เนื่องจากเราชอบตั้งชื่อทริปให้คล้องจองกัน บวกกับช่วงที่เราไปเที่ยวนั้น ละครใหญ่แห่งปีของช่อง 7 เรื่อง “เพลิงพระนาง” กำลังออนแอร์พอดี (หากใครเคยดูละครเรื่องนี้จะทราบว่าตัวละครหลักในเรื่องที่เป็นเจ้านายในวังจะนั่งเสลี่ยง) เลยถือโอกาสนำมาใช้ตั้งชื่อทริปซะเลย แม้ว่าทริปเที่ยวนี้จะผ่านมา 5 ปีแล้ว แต่ทริปนี้ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำและประทับอยู่ในใจเราเสมอ สำหรับใครที่วางแผนจะไปเที่ยวเชียงคานล่ะก็...เราขอแนะนำให้ไปเที่ยวในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์จะดีที่สุด แต่จะเป็นเพราะเหตุผลอะไรนั้น ตามอ่านบทความกันเลยดีกว่าค่ะ! ^^ วันแรกตื่นเช้ามาก เพราะต้องมาขึ้นรถซันบัสที่สถานีขนส่งหมอชิตตอน 8 โมงตรง ซึ่งรถซันบัสเป็นรถทัวร์ VIP ที่มาถึงเชียงคานต่อเดียวเลย หากใครต้องการมาเที่ยวเฉพาะเชียงคาน แนะนำว่าให้นั่งรถซันบัสดีกว่า แต่ถ้าอยากมาเที่ยวแบบเต็มอิ่มควรขึ้นรถตอน 2 ทุ่ม เพราะไปถึงที่นั่นก็เช้าพอดี (ถ้าต้องการดูตารางเวลาเดินรถและจองตั๋วออนไลน์ สามารถจองได้ที่เว็บไซต์ Sunbus อย่าลืมดูตารางเดินรถให้ดี เพราะรถมาเที่ยวเชียงคานมีแค่รอบ 8 โมงเช้า กับ 2 ทุ่มเท่านั้น) โดยบนรถจะมีทั้งที่นั่งเดี่ยวและที่นั่งคู่คล้ายกับนั่งเครื่องบิน นอกจากนั้นทุกที่นั่งยังมีทีวีส่วนตัว, ผ้าห่ม, สายชาร์จ USB และขนม Pringles กระป๋องเล็กระหว่างทางให้ ดีงามมาก แต่เสียดายลืมถ่ายรูป ^^” พอช่วงบ่ายแก่ ๆ เย็น ๆ สักประมาณ 4 - 5 โมง ถึงเชียงคานก็เดินมานั่งรถสามล้อเครื่องแถวตลาด เพื่อเช็กอินเข้าที่พักและนำกระเป๋าเสื้อผ้าไปเก็บ จากนั้นเราก็นั่งต่อไปยังวัด “ภูช้างน้อย” ค่ะ “วัดภูช้างน้อย” ตั้งอยู่ไม่ไกลจากเชียงคานมากนัก แต่เดิมวัดแห่งนี้เป็นเพียงสำนักสงฆ์ที่ชาวเชียงคานร่วมกันสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2500 โดยมีพระพุทธรูปประจำวัดภูช้างน้อยอย่าง “พระพุทธศากยมุนี ศรีเชียงคาน” หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “พระใหญ่” ประดิษฐานอยู่บนยอดภู ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่สีทอง มองเห็นมาแต่ไกล และจากจุดที่องค์พระใหญ่ประดิษฐานอยู่ก็สามารถชมทัศนียภาพของเมืองเชียงคานได้ชัดเจน หรือถ้าใครต้องการมาชมวิวและถ่ายรูปบรรยากาศยามพระอาทิตย์ตกดินก็สวยงามไม่แพ้กันค่ะ หลังจากแวะมาไหว้พระและชมวิวรอบเมืองเชียงคานที่วัดภูช้างน้อยกันแล้วนั่งสามล้อเครื่องมายัง “ถนนคนเดิน” ริมฝั่งโขงของเชียงคาน ซึ่งบรรยากาศถนนคนเดินก็จะเหงา ๆ หน่อย เพราะเรามาเที่ยวในวันธรรมดา โดยถนนคนเดินของที่นี่ก็จะมีทุกวัน แต่ว่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ ยิ่งเป็นวันเสาร์ก็จะมีบรรยากาศคึกคักเป็นพิเศษ ส่วนเราถ่ายรูปถนนคนเดินแค่รูปเดียว เน้นเดินเล่นและซื้อของซะมากกว่า พอเราเดินเล่นและซื้อของที่ถนนคนเดินจนเหนื่อยแล้วก็แวะมากินข้าวเปียกเส้นที่ร้าน “แม่งาม อิ่มอร่อย” เพื่อเพิ่มพลังกันสักหน่อย จากนั้นก็เดินกลับที่พักค่ะ พอเดินมาถึงที่พัก ที่พักเป็นแบบโฮมสเตย์ไม้ ชื่อว่า “บ้านสวนละมุน” บอกเลยว่าห้องพักสวยงามและดีมาก ๆ มีความเป็นส่วนตัวสุด ๆ แถมห้องพักแต่ละหลังก็จะมีชื่อห้องด้วยค่ะ ซึ่งห้องพักของเราชื่อว่า “มอบรัก” โรแมนติกไม่เบา 5555 โดยภายในห้องพักเป็น Loft ปูนเปลือย สะอาด เตียงขาวนุ่มน่านอน โทรทัศน์ก็มีให้ดู อินเทอร์เน็ต Wi-Fi ก็มีให้ฟรี แอร์ก็เย็นฉ่ำ นอนหลับสบายแน่คืนนี้ อิอิ ^^ ใครที่ชอบความเป็นส่วนตัวแนะนำให้มาพักที่นี่ค่ะ ตื่นเช้าอีกวัน วันนี้รถสามล้อเครื่องที่ทางที่พักแนะนำแวะมารับไปเที่ยวแบบ One Day Trip เพื่อไปชมทะเลหมอกกับพระอาทิตย์ยามเช้าที่ “ภูทอก” ค่ะ “ภูทอก” เป็นจุดชมวิวทะเลหมอก โดยเฉพาะช่วงเช้าในฤดูหนาวจะมีทะเลหมอกปกคลุมภูเขาเกือบทั้งหมด แถมยังได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นท่ามกลางทะเลหมอก หรือถ้าต้องการมาชมพระอาทิตย์ตกดินก็มาชมและดื่มด่ำบรรยากาศยามเย็นอันสดชื่นได้เช่นกัน เพราะที่นี่มีลักษณะเป็นภูเขาสูงที่สามารถชมทัศนียภาพอันงดงามของแม่น้ำโขง, เมืองสานะคาม ประเทศลาว และแก่งคุดคู้ได้อย่างชัดเจน เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวและช่างถ่ายภาพมืออาชีพให้เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกหรือเป็นความทรงจำได้ดีเลยทีเดียวค่ะ (สามารถอ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่บทความ “ชมทะเลหมอกยามเช้า ณ ภูทอก เชียงคาน”) พอนั่งรถกระบะของท้องถิ่นลงมาข้างล่างและแวะซื้อของที่ระลึกนิด ๆ หน่อย ๆ แล้วก็นั่งรถสามล้อเครื่องต่อไปยัง “วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน” เมื่อเราเดินทางมาถึงบริเวณด้านล่างของวัดก็ต้องติดต่อให้คนที่อาศัยในวัดหรือบริเวณใกล้เคียงกับวัดให้ขับรถกระบะลงมารับเรา เนื่องจากทางขึ้นไปยังวัดสูงชันจนรถสามล้อเครื่องไม่สามารถขับขึ้นไปได้ค่ะ “วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน” เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2300 ซึ่งจุดเด่นของที่นี่ก็คือ “รอยพระพุทธบาท” ที่ประดิษฐานอยู่บนหินพร้าหรือหินลับมีด มีลักษณะเป็นรอยแตกเหมือนรอยพระพุทธบาทจริง นอกจากนั้นยังมี “พระเจ้าใหญ่พุทธฉันพรรณรังสี” เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นสีขาวองค์ใหญ่ถือได้ว่าเป็นที่เคารพบูชาของผู้คนมาตั้งแต่อดีต ต่อมาในปี พ.ศ.2478 ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานนั่นเอง เมื่อไหว้พระกันเสร็จแล้วก็อย่าลืมแวะมาให้อาหารกระต่ายกัน โดยอาหารของกระต่ายก็จะมีขายทั้งผักกับอาหารเม็ด บอกเลยว่ากระต่ายน่ารักมาก ๆ เชื่องสุด ๆ เพราะทางวัดเลี้ยงแบบอิสระมาก ๆ ทำให้คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวพอสมควรเลย เว้นแต่กระต่ายดุที่ทางวัดจะขังกรงแยกไว้ต่างหาก หลังจากไหว้พระ, ให้อาหารกระต่าย และชมวิวเมืองเชียงคานแล้ว พี่คนขับรถคนเดิมจะขับรถมาส่งด้านล่างตรงที่รถสามล้อเครื่องจอดอยู่ เราจำราคาเหมาไป-กลับไม่ค่อยได้ว่าเท่าไหร่ แต่น่าจะประมาณ 30 - 50 บาท เสร็จแล้วก็นั่งรถสามล้อเครื่องต่อไปยัง “แก่งคุดคู้” ค่ะ “แก่งคุดคู้” เป็นแก่งหินใหญ่ขวางอยู่กลางลำน้ำโขงบริเวณช่วงโค้งพอดี ทำให้มีกระแสน้ำเชี่ยวไหลผ่านแก่ง แต่ว่าในช่วงมีน้ำ น้ำจะท่วมจนไม่เห็นแก่งนั่นเอง ซึ่งช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการมาเที่ยวชมแก่งคุดคู้ก็คือช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคม เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่น้ำแห้งจนมองเห็นเกาะแก่งที่โค้งสันทรายริมแม่น้ำอย่างชัดเจน แต่ถ้าต้องการสัมผัสธรรมชาติทั้งสองฝั่งของแม่น้ำโขงที่บริเวณแก่งคุดคู้อย่างใกล้ชิด ... ที่นี่ให้บริการเช่าเรือยนต์ล่องแม่น้ำโขง โดยใช้เวลาล่องเรือไป-กลับประมาณ 1 ชั่วโมง นอกจากนั้นยังมีร้านขายอาหารประเภทส้มตำไก่ย่าง ลาบ แต่เมนูอาหารที่ห้ามพลาดเลยก็คือพล่ากุ้งเต้น, กุ้งทอด และต้มยำปลา ส่วนของที่ระลึกที่ควรซื้อติดไม้ติดมือเป็นของฝากก็คือมะพร้าวแก้วกับข้าวเปียกเส้นแบบห่อค่ะ พอชมแก่งคุดคู้เสร็จแล้วก็นั่งรถสามล้อเครื่องกลับมากินอาหารกลางวัน แล้วก็เดินชมบรรยากาศเมืองเชียงคานตรงถนนคนเดินนิดหน่อย ก่อนจะกลับที่พัก ซึ่งตอนแรกเรากะว่าจะแวะไปเที่ยวชมหมู่บ้านวัฒนธรรมไทดำที่บ้านนาป่าหนาดด้วย แต่ว่ากลัวไกลเกินไปกับกลัวเงินไม่พอด้วย เลยกลับที่พักดีกว่า อีกอย่างรู้สึกเหนื่อยด้วย ออกจากที่พักตั้งแต่เช้ามืด พอย้อนเวลากลับไป รู้สึกว่าตอนนั้นน่าจะแวะไปเที่ยวชมซะหน่อยดีกว่า ไหน ๆ มาเที่ยวแล้วทั้งที น่าจะมาให้คุ้มค่ะ กลับมากินที่ร้านเดิมอีกแล้ว และนี่ก็คืออาหารกลางวันสุดหรูของเรา หรูตรงที่มีไข่กระทะเพิ่มมาด้วย ปกติสั่งแค่ข้าวเปียกเส้นอย่างเดียว 5555 พอกินเสร็จก็เดินบรรยากาศชุมชนบ้านไม้เก่า บริเวณถนนคนเดิน ถือเป็นเสน่ห์ของเมืองเชียงคาน เพราะมีความสโลว์ไลฟ์อย่างแท้จริง ยิ่งได้มาเที่ยวแล้วบอกเลยว่ารู้สึกอยากมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มากจริง ๆ ค่ะ หลังจากกินอาหารกลางวันและเที่ยวชมบรรยากาศเมืองเก่า ๆ รอบ ๆ ถนนคนเดินแล้วก็กลับที่พัก ตอนแรกว่าจะนอนหลับพักผ่อนซะหน่อย แต่นอนไม่หลับ เลยนั่งดูโทรทัศน์ไปเรื่อย จนกระทั่งตอนเย็นก็ออกมาที่พักเพื่อจะกินอาหารเย็น เดินเล่นซื้อของที่ถนนคนเดินนิดหน่อยแล้วก็กลับที่พักก่อนจะเดินทางกลับวันพรุ่งนี้ แต่พี่เจ้าของบ้านพักแนะนำว่าให้ลองไปนั่งเรือชมแม่น้ำโขงและพระอาทิตย์ตกดิน เราก็เลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานของพี่เขาไปส่งตรงที่มีการบริการล่องเรือชมบรรยากาศริมสองฝั่งแม่น้ำโขงค่ะ ชมวิวสองฝั่งโขงกันบ้างดีกว่า เวลามาล่องเรือแม่น้ำโขงช่วงเย็น ๆ สักประมาณ 5 โมงก็จะเห็นพระอาทิตย์สะท้อนน้ำ หรือพระอาทิตย์ตกดิน สวยงามมาก ใครที่ชอบถ่ายพระอาทิตย์ตกดินขอแนะนำว่าให้ลองมานั่งเรือชมแม่น้ำโขงสักครั้งหนึ่งค่ะ หลังจากล่องเรือชมแม่น้ำโขงและพระอาทิตย์ตกดินแล้วก็ขึ้นฝั่งมาชมทะเลแดงริมฝั่งแม่น้ำโขงกัน ซึ่งทะเลแดงนี่จะเป็นสีของแม่น้ำโขงที่สะท้อนแสงพระอาทิตย์ตกดินนั่นเองค่ะ เมื่อชมทะเลแดงริมฝั่งโขงเสร็จ เราก็นั่งกินอาหารเย็นและเดินเล่นให้อาหารย่อย บวกกับเที่ยวชมบรรยากาศยามค่ำคืนเป็นคืนสุดท้าย ก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ในวันพรุ่งนี้เช้ากันค่ะ สำหรับวันนี้รีวิวทริปเที่ยวย้อนความทรงจำ “นั่งเสลี่ยงไปเชียงคาน” แบบ Alone Trip จบแล้ว หากใครชอบท่องเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์ เรียบง่าย ๆ หรือต้องการหนีชีวิตที่เร่งรีบในเมืองหลวงล่ะก็...แนะนำว่าให้มาเที่ยวเชียงคานกันนะคะ เพราะนอกจากจะได้ชมวิถีชีวิตของผู้คนที่นั่นแล้ว ยังรู้สึกว่าการดำเนินชีวิตเนิบช้า เหมือนพักผ่อนเพิ่มพลังชีวิตได้ตั้งเยอะเลยค่ะ 😊😊😊 พิกัด: วัดภูช้างน้อย, ถนนคนเดินเชียงคาน, บ้านสวนละมุน, ภูทอก, วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน, แก่งคุดคู้ออกแบบหน้าปกใน Canva โดย: Windy_55 (ผู้เขียน)เครดิตภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย: Windy_55 (ผู้เขียน)วันลาเหลือใช่ไหม อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !