รีเซต

12 เมืองสวย ที่เที่ยวอิตาลี สุดยอดเมืองแห่งศิลปะ วิวสวยปัง ยอดฮิตตลอดกาล

12 เมืองสวย ที่เที่ยวอิตาลี สุดยอดเมืองแห่งศิลปะ วิวสวยปัง ยอดฮิตตลอดกาล
SummerB
9 มีนาคม 2565 ( 20:30 )
54.8K

       สุดยอดประเทศแห่งศิลปะแดน ยุโรป ยังไงก็ต้องมี อิตาลี อยู่ในนั้น เพราะนอกจากจะอบอวลไปด้วยศิลปะและวัฒนธรรมที่สืบต่อมาอย่างยาวนานแล้ว ทั้งสถาปัตยกรรม และทิวทัศน์อันงดงามของทะเลและภูเขาก็ยิ่งเพิ่มเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละเมืองด้วยเช่นกัน ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะไปเช็คอิน 12 เมืองสวย ที่เที่ยวอิตาลี พิกัดยอดฮิตตลอดกาล ไปดูกันว่าแต่ละเมืองจะสวยปังอลังการขนาดไหน

 

ตะลุย ที่เที่ยวอิตาลี

ปักหมุด เมืองยอดฮิต

 

1. กรุงโรม

Rome

 

 

      เริ่มเมืองแรกที่ กรุงโรม (Rome) ที่มาพร้อมกับตำแหน่งเมืองหลวง และเมืองที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีกันค่ะ ความพิเศษของกรุงโรมไม่ใช่เพียงเพราะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเท่านั้น แต่เป็นเมืองที่มีความเก่าแก่กว่า 2,700 ปี จึงไม่แปลกใจเลยหากที่นี่จะเป็นแหล่งรวมโบราณสถานที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ของประเทศอยู่หลายแห่ง รวมถึงเป็นรากฐานสำคัญของศิลปะและสถาปัตยกรรมตะวันตกอีกด้วย เช่น โคลอสเซียม (Colosseum) มหาวิหารแพนธีออน (Pantheon) น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain) เป็นต้น

 

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/yJVjrSBpq9Kesz6v5 

==========

 

2. นครรัฐวาติกัน

Vatican City

 

 

       เมื่อมาเที่ยวกรุงโรมแล้ว ยังไงก็ต้องเข้าไปชมความยิ่งใหญ่อลังการของ นครรัฐวาติกัน (Vatican City) ศูนย์กลางแห่งคริสตจักรที่มี สมเด็จพระสันตะปาปา หรือ โป๊ป เป็นประมุข มีไฮไลท์เป็น มหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ (St. Peter's Basilica) มหาวิหารเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 แต่อาคารที่เราเห็นในปัจจุบันนั้นมีการสร้างใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1626 โดยศิลปินและสถาปนิกชื่อดังแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) หลายท่าน ไม่ว่าจะเป็น ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) โดนาโต บรามันเต (Donato Bramante) ราฟาเอล (Raphel) และ โจวันนิ เบอร์นินี (Giovanni Bernini) เป็นต้น

 

RPBaiao / Shutterstock.com

 

      นอกจากนี้ยังมี โบสถ์ซิสติน (Sistine Chapel) สถานที่คัดเลือกพระสันตะปาปาที่โดดเด่นด้วยจิตรกรรมบนเพดานโบสถ์ ฝีมือของไมเคิลแองเจโลที่สรรค์สร้างผลงานออกมาได้อย่างวิจิตรตระการตา รวมถึง พิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museums) ที่เก็บรวบรวมชิ้นงานศิลปะที่มีความสำคัญในคริสตศาสนาตั้งแต่ยุคคลาสสิกและยุคเรเนซองส์ถึง 70,000 ชิ้น เลยทีเดียวค่ะ

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/qTWAzxgEkbuEPq216 

==========

 

3. เวนิส

Venice

 

 

        ฉายา “ราชินีแห่งทะเลอาเดรียติก” (The Queen of the Adriatic) หรือ “เมืองแห่งสายน้ำ” (The City of Water) นั้นไม่ได้มาเล่นๆ สำหรับ เวนิส (Venice) แห่งนี้ ที่รายล้อมไปด้วยคูคลองถึง 150 สาย รวมถึงตึกอาคารสีสันสดใสตัดกับน้ำทะเลสีฟ้าอย่างลงตัว นอกจาก เทศกาลเวนิสคาร์นิวัล (Venice Carnival) และการล่อง เรือกอนโดลา (Gondola) ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเวนิสแล้ว มหาวิหารซันมาร์โก (St. Mark's Basilica) ยังถือเป็นไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ เนื่องจากเป็นมหาวิหารเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ที่เน้นลวดลายวิจิตรตระการตา ตั้งอยู่ตรงจัตุรัสกลางเมือง ใครที่มาถึงเวนิสแล้วไม่ได้มาเยือนมหาวิหารแห่งนี้ถือว่าน่าเสียดายมากๆ เลยทีเดียวค่ะ

อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ 6 ที่เที่ยว เวนิส เมืองในฝัน ชาตินี้ไม่ไป ตายตาไม่หลับ

 

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/BL6naJi3EXXGM8qh7 

==========

 

4. ฟลอเรนซ์

Florence

 

 

       แม้จะเป็นเมืองที่มีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ ฟลอเรนซ์ (Florence) กลับมีดีกรีเป็นถึงเมืองหลวงเก่าของประเทศอิตาลีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1865 จนถึง 1871 เชียวนะ แถมปัจจุบันก็ยังเป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสคานี (Tuscany) อีกด้วย จุดเด่นของฟลอเรนซ์คือทิวทัศน์ของ แม่น้ำอาร์โน (Arno) ที่ไหลผ่านตึกอาคารทรงโบราณโทนสีอบอุ่นและทิวเขาที่สวยงาม โดยมี สะพานเวคคิโอ (Ponte Vecchio) สะพานเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 เชื่อมระหว่างสองฝั่งของเมืองเข้าด้วยกัน 

อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ ฟลอเรนซ์ Florence ที่เที่ยวอิตาลี เมืองสุดโรแมนติก สวรรค์ของสายอาร์ต

 

 

       เมื่อมาถึงฟลอเรนซ์แล้ว สถานที่สำคัญที่พลาดไม่ได้เลยคือ มหาวิหารฟลอเรนซ์ (Cathedral of Santa Maria del Flore) มหาวิหารที่เป็นตัวอย่างการผสมผสานศิลปะของยุคโกธิค (Gothic) โรมาเนสก์ (Romanesque) และเรเนสซองส์ (Renaissance) ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ด้วย ส่วนสายอาร์ตก็ต้องไปเช็คอินที่ หอศิลป์อุฟฟีซี (The Uffizi Gallery) ที่รวบรวมผลงานของตระกูลช่างฟลอเรนทีนและเรเนสซองส์ถึง 100,000 ชิ้น รวมถึงผลงานชิ้นเอกของศิลปินชื่อดังแห่งยุคเรเนสซองส์ เช่น ซานโดร บอตติเชลลี (Sandro Botticelli) เลโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci) ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) และ คาราวัจโจ (Caravaggio) เป็นต้น

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/p95Hdyrhgmq58LC46 

==========

 

5. ปิซ่า

Pisa

 

 

      นับเป็นสัญลักษณ์ของประเทศอิตาลีเลยก็ว่าได้สำหรับ หอเอนปิซ่า หรือ Leaning Tower of Pisa ที่ตั้งอยู่คู่กับ มหาวิหารปิซ่า (Duomo di Pisa) ในเมืองปิซ่า แคว้นทัสคานีแห่งนี้ ซึ่งจริงๆ แล้ว หอเอนปิซ่าคือหอระฆังคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกที่สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1173 แต่เนื่องจากพื้นดินในบริเวณที่สร้างเป็นดินโคลน ไม่ใช่ชั้นหินที่สามารถยึดเหนี่ยวฐานให้มั่นคง จึงทำให้ฐานข้างหนึ่งของหอยุบตัวลงไป หอระฆังจึงเริ่มมีความเอนเอียงนับตั้งแต่นั้นมา แม้จะมีการถ่วงน้ำหนักให้หอระฆังกลับไปตั้งฉากดังเดิม แต่หอระฆังก็ยังคงเอนลงอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ก็ได้ นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ และวิศวกรมาหาวิธีทำให้หอระฆังหยุดเอนลง จนในที่สุดก็ทำได้สำเร็จ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ตั้งแต่ปี 2001 เป็นต้นมา และกลายมาเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่ใครๆ ก็อยากไปเที่ยวชมสักครั้ง

อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ หอเอนปิซ่า Pisa ที่เที่ยวอิตาลี สิ่งมหัศจรรย์ของโลก กับปริศนา ทำไมเอนแต่ไม่ล้ม? 🤔

 

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/wZ2EyFciozyfbhTB9 

==========

 

6. เซียน่า

Siena

 

 

       เซียนา (Siena) เมืองสวยรวยเสน่ห์อีกแห่งหนึ่งของแคว้นทัศคานีที่ตั้งอยู่บนขุนเขา เมื่อเข้าไปถึงเมือง เราก็จะรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในสมัยก่อนด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุคกลาง ไหนจะมีสนามม้ากลางเมืองเอาไว้จัด งานประเพณีแข่งม้า เอล พาลีโอ (Il Palio) ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 และจัดมาตลอดในวันที่ 2 กรกฎาคม และ 16 สิงหาคมของทุกปีค่ะ

 

 

     แต่สถานที่หนึ่งที่ไม่ว่าใครได้ไปเยือนก็ต้องประทับใจคือ มหาวิหารเซียนา (Duomo di Siena) อาสนวิหารของคริสตจักรโรมันคาทอลิกที่สร้างขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างปี ค.ศ. 1215 ถึง ค.ศ. 1263 โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบโกธิค หินอ่อนสีขาวดำสลับกันโดยมีกระจกเงาทรงกลมอยู่บริเวณด้านบนของวิหาร ส่วนด้านในก็ตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาวดำเช่นเดียวกัน แต่แฝงไปด้วยลวดลายประณีตอ่อนช้อย น่าชมเป็นอย่างมากเลยทีเดียวค่ะ

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/hVhkzqMEnkqxb8jK9 

==========

 

7. มิลาน

Milan

 

 

      เมืองแฟชั่นแห่งอิตาลีคงเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก มิลาน (Milan) เมืองใหญ่และมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศอิตาลี เป็นทั้งศูนย์รวมทางเศรษฐกิจ ความบันเทิง การศึกษา การออกแบบ ศิลปะ การท่องเที่ยว และการคมนาคม รวมถึงเป็นถิ่นกำเนิดของแบรนด์เนมชื่อดังอย่าง Prada ด้วยเช่นกัน ด้วยความก้าวหน้าทันสมัยผสานกับความอนุรักษ์นิยม จึงทำให้มิลานมีการแบ่งโซนเมืองเก่าและโซนเมืองธุรกิจอย่างชัดเจน นับเป็นความแตกต่างที่ลงตัวสุดๆ

อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ เที่ยวมิลาน Milan เมืองแฟชั่นแห่ง อิตาลี จุดหมายของคนรักศิลปะ

 

Olgysha / Shutterstock.com

 

      เชื่อว่าหลายคนจะต้องรู้จัก มหาวิหารมิลาน (Milan Catheral) หรือ "วิหารเม่น" ที่มีลักษณะเด่นเป็นยอดแหลมทั้งหมด 135 ยอด ดูวิจิตรงดงามและยิ่งใหญ่ตระการตา และ กัลเลรีอา วิตโตรีโย เอมานูเอเล (Galleria Vittorio manuele II) ห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดในอิตาลี และเป็นหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ภายในเป็นศูนย์รวมร้านแบรนด์เนมต่างๆ ที่สายช้อปไม่ควรพลาดเลยจ้า

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/MNbK22SUfXyFUvpi 

==========

 

8. ทะเลสาบโคโม่

Lake Como

 

 

        ทะเลสาบโคโม่ (Lake Como) เป็นสถานที่พักตากอากาศที่หลายๆ คนนิยมไปเที่ยวต่อจากมิลาน เพราะเดินทางไปไม่ไกลนัก ขึ้นชื่อว่าเป็นทะเลสาบทื่สวยที่สุดในโลก ด้วยความยาวโดยรอบถึง 160 กิโลเมตร บวกกับพื้นที่รอบๆ ทะเลสาบถึง 146 ตารางกิโลเมตร จึงทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีเมืองต่างๆ รายล้อมอยู่มากมาย เช่น Bellagio, Varenna, Menaggio, Lenno และ Como เป็นต้น แถมยังเห็นทิวทัศน์ของ เทือกเขาแอลป์ (Alps) ได้จากเมืองเหล่านี้อีกด้วยค่ะ สำหรับใครที่อยากเปลี่ยนบรรยากาศมาสัมผัสธรรมชาติบ้าง ทะเลสาบโคโม่นี่แหละ ตอบโจทย์สุดๆ

อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ เที่ยว อิตาลี ล่องเรือชม ทะเลสาบโคโม่ Lake Como ความงดงามดังภาพวาด

 

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/6E3W3imAQncoHVyA7 

==========

 

9. เวโรน่า

Verona

 

 

       ตามรอยวรรณกรรมตะวันตกที่โด่งดังที่สุดเรื่องหนึ่งอย่าง Romeo and Juliet ที่ เมืองเวโรน่า (Verona) ที่ตั้งของ บ้านของจูเลียต (Juliet's House) ที่เชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยของจูเลียตในชีวิตจริง แต่นอกเหนือจากนั้นแล้ว ก็ยังมี Verona Arena สนามกีฬาขนาดใหญ่ที่มีสถาปัตยกรรมโรมัน ลักษณะคล้ายคลึงกับโคลอสเซียมที่กรุงโรม เป็นสถานที่จัดกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การแสดงละครเวที คอนเสิร์ต และงานกีฬาค่ะ

 

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/irWEcMCGGPbtrmmi7 

==========

 

10. ชิงเคว เทเร

Cinque Terre

 

 

       ชิงเคว เทเร (Cinque Terre) หนึ่งในเมืองเก่าแก่ของประเทศอิตาลี ที่มีอายุยาวนานถึง 1,300 ปี ตั้งอยู่ในแคว้น Liguria โดยคำว่า "cinque" ในภาษาอิตาเลียนแปลว่า ส่วนคำว่า "terre" แปลว่าแผ่นดิน ซึ่งบ่งบอกถึงลักษณะการแบ่งเป็นหมู่บ้านทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ Monterosso , Vernazza , Corniglia , Manarola และ Riomaggiore อย่างชัดเจน แม้แต่ละหมู่บ้านก็จะมีลักษณะเด่นที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่หมู่บ้านทั้ง 5 มีเหมือนกันก็คือตึกอาคารสีสันฉูดฉาดที่ตัดกับสีเขียวของภูเขาและสีฟ้าของน้ำทะเลได้อย่างงดงาม แถมยังมีอากาศที่ดีสุดๆ ไม่ร้อนและไม่หนาวจนเกินไป จึงเหมาะกับการมาเที่ยวพักตากอากาศตลอดทั้งปีเลยค่ะ

 

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/JJPXFHJSGsGmQent6 

==========

 

11. ชายฝั่งอมาลฟี

Amalfi Coast

 

 

       ดินแดนแห่งชายฝั่งทะเลอีกแห่งหนึ่งที่เราอยากแนะนำคือ ชายฝั่งอมาลฟี (Amalfi Coast) ที่ทอดยาวไปตาม อ่าว Salerno บน ทะเล Tyrrhenian ประกอบไปด้วยเมืองต่างๆ ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุคกลาง โอบล้อมไปด้วยภูเขา ทะเล และหาดทรายสีขาว บรรยากาศสดใสราวกับภาพวาดสีน้ำมัน จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมืองแถบชายฝั่งอมาลฟีถึงจัดให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก

อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ เที่ยวอิตาลี 8 เมืองริม ชายฝั่งอมาลฟี Amalfi Coast ไข่มุกแห่งอิตาลีใต้

 

Grimas / Shutterstock.com

 

      ใครที่ได้มาเที่ยวชายฝั่งอมาลฟี ต้องทำความรู้จักกับ Limoncello Liqueur ผลิตภัณฑ์ที่ทำจาก Stusato Amalfitano สายพันธุ์ของมะนาวที่เพาะปลูกเฉพาะที่ริมชายฝั่งอมาลฟีเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีเครื่องปั้นเซรามิคลวดลายสวยงาม สีสันจัดจ้านเอกลักษณ์ฉบับบ้านเมืองในแถบนี้ด้วยเช่นกัน 

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/DWS1FSf59hqYcphz8 

==========

 

12. ไทโรลใต้

South Tyrol

 

 

        สัมผัสความอลังการของขุนเขาแห่งทางเหนือของอิตาลีที่ เขตปกครองตนเองไทโรลใต้ หรือ South Tyrol ซึ่งติดกับเขตชายแดนระหว่าง อิตาลี และ ออสเตรีย เดิมเขตนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของ อาณาจักรออสเตรีย-ฮังการี แต่หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อปี ค.ศ. 1919 ดินแดนแห่งนี้ก็ได้เข้ามาอยู่ในเขตของอิตาลีแทน ทำให้คนที่นี่สามารถสื่อสารได้ทั้งภาษาเยอรมันและภาษาอิตาลีค่ะ

อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ เที่ยว อิตาลี ชมความงาม เทือกเขาโดโลมิติ South Tyrol ดินแดนแห่ง มรดกโลก

 

      จุดเด่นของดินแดนแถบนี้คือ เทือกเขาโดโลมิติ (Dolomites) มรดกโลกทางธรรมชาติที่มีทิวทัศน์ที่สวยงามเกินบรรยาย แถมยังปกคลุมไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับคนที่รักการผจญภัย และปีนเขาเป็นอย่างมาก รอบๆ เทือกเขามีเมืองเล็กเมืองน้อยตั้งอยู่หลายแห่ง ซึ่งแต่ละเมืองก็มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป แต่เมืองที่เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของแถบนี้ก็คือ Funes เมืองเล็กๆ ในหุบเขาที่มี เทือกเขา Odles ตั้งเด่นสง่าเป็นพื้นหลัง ทำเอาเราคิดว่าตัวเองกำลังหลุดเขาไปในภาพวาดเลยทีเดียว 

 

พิกัด : https://goo.gl/maps/H2fGHNBLD6q58ghT9