หลายครั้งที่เรามีโอกาสได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น แต่ยังไม่เคยเลยสักครั้งที่จะได้เจอ "เขา" แลนมาร์คแห่งแดนอาทิตย์อุทัย อย่างภูเขาไฟฟูจิ จนกระทั่งเมื่อเพื่อนคนหนึ่งโยนไอเดียมาว่า อยากมีโอกาสยลโฉมหน้า "เขา" ชัดๆ สักครา ว่าแล้วเราก็ไม่รอช้า เริ่มวางแผนเที่ยวญี่ปุ่นอีกครั้งในทันที โดยมีเส้นทางโตเกียว-คาวากุจิโกะ อยู่ในแผนครั้งนี้ด้วย แต่ด้วยระยะเวลาที่เรามีค่อนข้างจำกัด จึงต้องจัดแบบรวบรัด ใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่า กับแผนการท่องเที่ยวรอบทะเลสาบคาวากุจิโกะ ชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ใน 1 วัน 1 คืน ซึ่งแม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่ก็เป็นประสบการณ์ท่องเที่ยวอันยอดเยี่ยม ที่จะตราตรึงอยู่ในใจไปอีกนานยินดีต้อนรับสู่สถานีปลายทางคาวากุจิโกะการผจญภัยของพวกเราเริ่มขึ้นในเช้าวันที่ 2 หลังบินลัดฟ้ามาสู่ภูมิภาคคันโต โดยในค่ำคืนแรกเราเข้าพักในย่าน Shin-Okubo ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีชินจูกุของโตเกียว เพื่อให้สะดวกกับการเดินทางไปขึ้นรถไฟรอบเช้าตรู่ สำหรับวิธีการเดินทางจากโตเกียวไปคาวากุจิโกะนั้น มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่ด้วยโจทย์ของพวกเราคือ เรื่องของ "เวลา" จึงต้องเลือกเดินทางด้วยวิธีที่ใช้เวลาน้อยที่สุด เลยจบที่การโดยสารรถไฟ Fuji Excursion ที่วิ่งตรงจากสถานีชินจูกุ สู่สถานีปลายทางคาวากุจิโกะ ในจังหวัดยามานาชิ ด้วยระยะเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงวิธีนี้สำหรับคนที่มี JR TOKYO Wide Pass อยู่ในมือแล้ว สามารถที่จะจองที่นั่งรถไฟขบวนดังกล่าวได้ฟรี แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้บัตร JR TOKYO Wide Pass ก็สามารถซื้อตั๋วรถไฟนี้แล้วเอาไปใช้ร่วมกับพาสแบบอื่นๆ ที่ครอบคลุมสถานที่เที่ยวตามแพลนก็ได้เช่นกัน แต่ขอแนะนำให้ทำการจองตั๋วล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์ JR East ไปก่อน เนื่องจากตั๋วรถไฟขบวนนี้เต็มเร็วมาก และในแต่ละวัน ก็มีเที่ยวรถเพียงแค่ 6 เที่ยวต่อวัน เป็นเที่ยวไป 3 เที่ยว และเที่ยวกลับ 3 เที่ยวเท่านั้นเมื่อถึงเวลา เราพบว่ารถไฟของพวกเราจอดรอท่าอยู่ที่ชานชาลาเรียบร้อยแล้ว และเพื่อให้เข้าถึงวิถีชีวิตแบบชาวญี่ปุ่น เราไม่พลาดที่จะหาซื้อข้าวกล่องรถไฟติดมือเอาไว้รองท้องระหว่างการเดินทางด้วย ตลอด 2 ชั่วโมงขณะรถไฟแล่นเร็วจี๋ไปตามราง เราได้สัมผัสกับบรรยากาศของนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นที่จับกลุ่มกันออกไปเที่ยวนอกเมืองในวันหยุดสุดสัปดาห์ ได้นั่งลิ้มรสชาติข้าวกล่องหลักร้อย ดื่มด่ำกับวิวข้างทางหลักล้านที่ด้านนอกหน้าต่าง โบกมือลาสีสันของเมืองหลวง มุ่งหน้าสู่ทิวทัศน์ชนบทเราค่อยๆ เห็นวิวบ้านเรือนหลังเล็กๆ วางตัวเกาะกลุ่มเลื่อนผ่านสายตาไป สลับกันกับท้องทุ่ง ทิวไม้ และชายเขา ไม่นานนักรถไฟก็มาจอดสงบนิ่งเทียบชานชาลาสถานีคาวากุจิโกะ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางในวันนี้ เราเริ่มได้ยินสำเนียงคุ้นหูบ่งบอกให้รู้ว่ามีนักท่องเที่ยวชาวไทยไม่น้อย นอกจากนั้นก็ยังมีนักท่องเที่ยวชาวตะวันตก ปะปนอยู่กับนักเที่ยวชาวญี่ปุ่นเอง ทำให้สถานีเล็กๆ แลดูคึกคัก แน่นขนัด นี่สินะสิ่งที่ยืนยันได้ว่าจุดหมายปลายทางแห่งนี้ยังคงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่หลงรักภูเขาลูกเดียวกันกับเราสำหรับจุดไฮไลท์ถ่ายรูปของสถานีคาวากุจิโกะนั้น แนะนำให้เพื่อนๆ เดินออกจากสถานี ข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม และหันหลังกลับมา ในวันที่อากาศดีเพื่อนๆ ก็จะได้พบกับทิวทัศน์ของภูเขาไฟฟูจิ โผล่ออกมาทักทายได้ชัดเจนจากมุมนี้ เสียดายที่ในวันที่เราเดินทางไปถึงท้องฟ้าดูขมุกขมัวไม่สดใส แต่ถึงอย่างนั้นโชคก็ยังเข้าข้าง ทำให้มีโอกาสได้ผ่านมาเก็บภาพอีกครั้งจนได้ แม้ว่าจะต้องรอ "เขา" นานสักหน่อยก็ตามขึ้นรถบัสชมวิวรอบทะเลสาบกับเส้นทางสายสีแดงสำหรับสถานีคาวากุจิโกะ แม้จะเป็นสถานีเล็กๆ แต่ก็มีทุกอย่างค่อนข้างครบ ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร ร้านของฝาก ตู้กาชาปอง ตู้ล็อกเกอร์ฝากกระเป๋า และยังมีจุดจำหน่ายตั๋วรถ Sightseeing bus สำหรับคนที่อยากท่องเที่ยวรอบคาวากุจิโกะรวมอยู่ที่นี่ด้วย ซึ่งรถบัสจะมีอยู่ด้วยกัน 3 สาย คือ สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ตั๋วบัส 1 ใบ ครอบคลุมการเดินทางท่องเที่ยวทั้ง 3 สาย ขึ้นลงได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ภายในระยะเวลา 2 วัน แต่หากใครมีเวลาน้อย แนะนำให้ท่องเที่ยวเฉพาะเส้นทางสายสีแดง ที่พาวนรอบทะเลสาบคาวากุจิโกะก็คุ้มค่า และไม่เหนื่อยจนเกินไปสำหรับจุดท่องเที่ยวไฮไลท์บนเส้นทางสายสีแดงที่เราไปเยือน เราเลือกนั่งรถบัสไปลงสุดสายที่ป้ายหมายเลข 20 ก่อน บริเวณนี้เรียกว่า Oishi Park ซึ่งเป็นจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่นิยมของนักท่องเที่ยว ยิ่งโดยเฉพาะในช่วงซากุระฟลูบลูม หรือใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่จะตระการตาไปด้วยดอกไม้พันธุ์ไม้นานาชนิดผลิบานอวดโฉมอย่างคับคั่ง จุดเด่นที่ทำให้เราชอบที่นี่มากๆ ก็คือ การเป็นแหล่งรวมของร้านอาหาร ของกิน ไอติม ของฝาก และเต็นท์ขายผลิตพันธุ์การเกษตร จบในที่เดียว เหมาะกับคนมีเวลาน้อยแบบเรามากๆ หลังจากรองท้องด้วยพิซซ่า และสปาเกตตี้ในร้านบริเวณ Oishi Park แล้ว เราจึงข้ามฝั่งมาขึ้นรถบัสสายเดิม เพื่อย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น แต่เนื่องจากขามาเราได้เล็งมุมถ่ายรูปสวยๆ เอาไว้อีกมุมหนึ่ง เราจึงลงรถที่ Kawaguchiko Music Forest Museum แล้วเดินไปด้านข้าง ตรงจุดนี้มีลักษณะเป็นคลองระบาย ความยาวทางเดินเลาะเลียบสองฝั่งประมาณ 100 เมตร ข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยเรียงราย โดยเมื่อเดินลอดอุโมงค์ต้นไม้ไป ก็จะเจอกับทิวทัศน์ที่เผยให้เห็นอีกมุมหนึ่งของภูเขาไฟฟูจิ ลมเย็นพัดโชยมาจากทะเลสาบเบื้องหน้าอันกว้างใหญ่ ในช่วงฟลูบลูมที่นี่คือ อีกหนึ่งไฮไลท์ ที่ไม่ว่าจะยกกล้องขึ้นมาจับภาพมุมไหน ก็บอกได้คำเดียวว่า คือสวย เดินถ่ายรูปเพลินๆ ในที่สุดตะวันก็คล้อยบ่าย ถึงเวลาที่เราจะต้องกลับเข้าที่พัก แม้จะยังไม่ได้เห็นคุณฟูจิซังชัดๆ แต่ก็ปลอบใจตัวเองไว้ว่า วันของเราจะต้องมาถึงในไม่ช้าอย่างแน่นอนเมื่อเราเข้านอนและตื่นเช้าเคียงข้างภูเขาไฟฟูจิช่วงเวลา 1 คืนที่คาวากุจิโกะ เราเข้าพักที่ Fujinokura Village ซึ่งตั้งอยู่ในระยะเดินถึงจากสถานีคาวากุจิโกะ ข้อดีของที่พักแห่งนี้คือ เราจะได้บ้านพักเป็นหลัง โดยเป็นบ้านเดี่ยวรูปกล่อง มีสองชั้น ด้านในมีห้องพักผ่อน ห้องครัว ระเบียงนั่งเล่น (ซึ่งไม่ได้นั่ง เพราะหนาว) พร้อมด้วยห้องนอนทั้งหมด 4 ห้อง ในสนนราคาต่อคืนที่จับต้องได้ ที่สำคัญคือ วิวฟูจิซังที่สามารถมองเห็นได้จากหน้าต่างห้องพัก แต่ทั้งหมดนี้ก็แลกมาด้วย การที่ทำเลที่พักอยู่ติดริมทางรถไฟ ใกล้แค่ไหน? ก็แค่... เวลารถไฟวิ่งผ่านจะรู้สึกสะเทือนเลื่อนลั่นเหมือนเรานอนอยู่ข้างรางรถไฟเลยทีเดียว ซึ่งความจริงมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ และการอ่านจากรีวิวแล้วเจอข้อมูลโดยบังเอิญว่ารถไฟขบวนสุดท้ายน่าจะหมดประมาณ 4 ทุ่มนั้น แท้จริงแล้ว รถไฟขบวนสุดท้ายจะหยุดวิ่งประมาณเที่ยงคืน และเริ่มเที่ยววิ่งแรกประมาณ 6 โมงเช้า ดังนั้น หากเพื่อนๆ สนใจจะเลือกมาพักที่นี่ ก็อาจจะต้องทำใจในเรื่องนี้ไว้สักหน่อยเนื่องจากที่พักแห่งนี้มีครัว และอุปกรณ์ประกอบอาหารครบครัน เราเลยตัดสินใจว่ามื้อค่ำอยากจะทำอะไรง่ายๆ กินประทังความหิวโหยหลังจากเที่ยวมาทั้งวัน ดังนั้น จึงเป็นที่มาของหม้อไฟร่วมสาบาน ที่เคล้าไปด้วยเสียงหัวเราะเฮฮา ทำให้อาหารอร่อยขึ้น 99% ส่วนที่ขาดหายไปนั้นก็แค่ ตามหาน้ำจิ้มสุกี้อร่อยๆ แบบบ้านเราจากร้านสะดวกซื้อที่ญี่ปุ่นมาเติมเต็มไม่ได้ เมื่ออิ่มท้องแล้วเราก็พากันบอกลาคุณฟูจิเข้านอน อารมณ์ตอนนั้นก็เหมือนเวลาอยากเจอใครสักคนมากๆ แต่ก็ว้าวุ่น เพราะไม่รู้ว่าเขาคิดอยากจะเจอเราเหมือนกันหรือเปล่า นอนคิดมาคิดไป สุดท้ายก็พล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วและแล้วเมื่อเช้าวันใหม่มาถึง ก็เป็นโอกาสสุดท้ายก่อนที่เราจะต้องแพ็กกระเป๋าเดินทางต่อไปยังจุดหมายถัดไป ดังนั้น สิ่งแรกที่พวกเราทำเมื่อก้าวเท้าลงจากที่นอนจึงเหมือนกันคือ เปิดม่านหน้าต่างด้อมๆ มองๆ วิวเบื้องหน้า ซึ่งดูลาดเลาแล้ว ก็แอบผิดหวังอยู่นิดๆ เพราะเมฆเจ้ากรรมยังคงวอแวกับคุณฟูจิซังของเราไม่เลิกลา แต่ก็มีสัญญาณดี เนื่องจากท้องฟ้าเบื้องหลังนั้นค่อนข้างเคลียร์ จนเมื่อฟ้าเริ่มสว่าง แสงแดดส่องสาดเต็มที่ ในที่สุด คุณฟูจิซังคนขี้อายของเรา ก็ยอมเผยโฉมหน้าออกมาทีละน้อยทีละนิด จนได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ และสวยงามในที่สุด เรียกว่า ไม่เสียแรงที่เราดันด้นมาหา "เขา" และนอนเฝ้าอยู่ทั้งคืน ช่วงเวลานี้ช่างประจวบเหมาะพอดิบพอดี หากเราตัดสินใจเดินทางจากไปเช้ากว่านี้ หรือมาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับแล้วล่ะก็ คงจะมาเสียเที่ยวแล้วแน่ๆ ทีเดียวเชียว และนี่ก็เป็นอันสิ้นสุดภาระกิจ มาตามหาภูเขาไฟฟูจิในทริปนี้ และหวังว่าในโอกาสหน้า เราจะมีโอกาสได้เห็น "เขา" ใกล้ขึ้น และชัดขึ้นกว่านี้ ในวันใดสักวันหนึ่ง พิกัด : https://maps.app.goo.gl/TDPkXpm6EZKCZmfE7ไปยังไง : เส้นทางแนะนำ รถไฟ Fuji Excursion ออกเดินทางจากสถานีชินจูกุ โตเกียว ถึง สถานีคาวากุจิโกะ ยามานาชิค่ารถเท่าไหร่ : เที่ยวละ 4,130 เยนใช้เวลาเดินทาง : ประมาณ 2 ชั่วโมงอ่านสักนิด : ควรตรวจสอบข้อมูลและรายละเอียดการเดินทางล่าสุดก่อนออกเดินทาง เนื่องจากการขนส่งสาธารณะ และรายละเอียดค่าโดยสาร หรือค่าเข้าสถานที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เครดิตรูป : เครดิตทั้งหมดโดยครีเอเตอร์เอง#เที่ยวญี่ปุ่น #โตเกียว #คาวากุจิโกะ #ทะเลสาบคาวากุจิโกะ #ภูเขาไฟฟูจิ เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !