1 ในความฝันของแฟนฟุตบอลทีมชาติไทยคือการได้ไปเชียร์ทีมชาติไทยในต่างแดน สำหรับนัดนี้เป็นเกมส์ที่ทีมชาติไทย ไปเยือนทีมชาติมาเลเซีย ที่สนามกีฬาแห่งชาติบูกิต จาลีล กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งผมจะมารีวิวการท่องเที่ยวและชมฟุตบอลไปในตัวภายในเวลา48 ชม. หรือ 2 วัน การเดินทางเริ่มขึ้นโดยสายการบิน Malindo Air เที่ยวบินเวลา 11.50 โดยบินออกจากสนามบินดอนเมืองใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึงสนามบิน KLIA1 ในเวลา 15.05 (เวลาในประเทศมาเล้ซียเร็วกว่าเวลาในประเทศไทย1ชั่วโมง)ซึ่งอยู่ห่างจากKl sentral คือสถานที่ที่เป็นจุดศูนย์กลางของระบบขนส่งทั้งหมดในกัวลาลัมเปอร์ประมาณ 50 กิโลเมตร ซึ่งพอผ่านตม.แล้วก็เข้าเมืองโดยการเรียก Grabcar ซึ่งใช้แอพพลิเคชั่นเดียวกับประเทศไทย ซึ่งพวกเราพักกันที่Ymca Hotel ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับ KL sentral หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้วก็ได้นั่งรถไฟฟ้าจาก Kl sentral ไปลงที่สถานี Bukit Jalil ซึ่งเป็นสถานีที่อยู่ติดกับสนามกีฬาแห่งชาติของประเทศมาเลเซียเลย ซึ่งในส่วนของผลบอลเป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่าทีมชาติไทยบุกไปแพ้ทีมชาติมาเลเซียด้วยสกอร์ 2-1 โดยรายละเอียดตรงนี้จะไม่ขอเจาะประเด็น แต่จะเน้นที่การเดินทางท่องเที่ยวในกรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันต่อๆไป เช้าวันต่อมา 15 พฤศจิกายน 2562 ตอนนี้เรามีเวลาหนึ่งวันครึ่งกับการสำรวจรวบกรุงกัวลาลัมเปอร์ มาดูกันว่าในกรุงกัวลาลัมเปอร์มีสถานที่สำคัญเด่นๆดึงดูดนักท่องเที่ยวได้บ้าง เราเริ่มที่แรกกันที่ Batu Cave หรือถ้ำบาตูนั่นเอง ซึ่งเดินทางโดยรถไฟฟ้า Ktm Komuter จาก KL sentral มาลงที่สถานี Batu cave ซึ่งเป็นสถานีปลายทางราคา 2.60 ริงกิต ภายในมีบันได272ขั้น ที่ต้องพิชิตเพื่อที่จะขึ้นไปบริเวณปากถ้ำ หลังจากนั้นจึงถึงเวลากลับเข้าเมือง ซึ่งเดินทางโดย KTM komuter เหมือนเดิม ราคาเท่าเดิมในการกลับไปสู่ KL sentral เพื่อที่จะไปตะลุยสถานที่ต่างๆในกรุงกัวลาลัมเปอร์กันต่อ เมื่อมาถึง KL sentral แล้วจึงเดินทางโดยรถไฟฟ้า monarail เพื่อไปยังสถานี Bukit Bintang โดยจุดนี้เป็นบริเวณที่ได้รับฉายาว่า สยามสแควร์แห่งกัวลาลัมเปอร์ เพราะมีห้างร้านต่างๆมากมาย โดย Pavillion จัดว่าเป็นห้างที่เป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญของ Bukit Bintang เมื่อเสร็จแล้วจึงนั่งรถไฟฟ้าไปยังสถานี Pasar sani เพื่อที่จะไปยัง Central Market Kuala Lumpur หรือตลาดกลางนั่นเอง โดยเดินเพียง 2 นาที จากสถานี Pasar sani บริเวณภายในตลาดกลางจะขายสินค้าทั้งขนม ของฝาก ของใช้ ของประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีความน่าสนใจกับการซื้อไปฝากเป็นของที่ระลึกให้กับคนที่บ้านเป็นอย่างมาก เมื่อช็อปปิ้งจนหนำใจแล้ว จึงได้ฤกษ์เดินต่อไปยัง Merdeka Square โดยสามารถที่จะใช้แอพ google map เดินไปจาก Central Market ประมาณ 700 เมตร เมื่อมาถึง Merdeka Square ซึ่งเป็นบริเวณที่ประเทศมาเลเซียใช้ประกาศเอกราชจากประเทศอังกฤษ ในวันที่ 31 สิงหาคม จึงถือได้ว่าวันนั้นเป็นวันชาติของประเทศมาเลเซีย โดยที่รอบๆจตุรัสยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆอีก อาทิ เช่น KL city gallery ,สุลต่านอับดุลซามัต เสาธงที่สูงที่สุดในประเทศมาเลเซีย เป็นต้น หลังจากนั้นจึงถึงเวลาที่จะต้องไปไฮไลท์ของกรึงกัวลาลัมเปอร์นั่นก็คือ ตึกแฝดปิโตรนาส โดยจัดว่าเป็นตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก โดยสามารถเดินทางจาก Mrt สถานี Masjid jamek ซึ่งเดินไปไม่ไกลจากจตุรัสเมอร์เดก้า ไปลงที่สถานี KLCC เมื่อเดินขึ้นสถานีมาก็เดินไปทางขวามือก็จะพบกับบริเวณหน้าตึก ซึ่งใต้ของตึกจะเป็นบริเวณห้าง Suria ซึ่งหากเดินทะลุหลังห้างไปทางข้างหลัง จะพบกับลานน้ำพุซึ่งจะแสดงในเวลาสองทุ่ม หากเดินไปอีกจะพบสวนสาธารณะ KLCC park ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชาวกัวลาลัมเปอร์ใช้มาออกกำลังกายในยามเย็น เมื่อถ่ายรูปเสร็จจนหนำใจแล้ว จึงนั่งmrt ไปลงสถานี bukit bintang เพื่อที่จะไป jalan alor ซึ่งเป็น street food ขายอาหารยามเย็นที่มีชื่อเสียงที่สุดในกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งส่วนใหญ่จะขายทั้งอาหารมลายู อาหารจีน อาหารไทย โดยบรรยากาศยิ่งดึกยิ่งครึกครื้น เมื่ออิ่มหนังท้องตึงแล้วขึงได้เวลากลับโรงแรมนอนพักผ่อน เพื่อที่จะพร้อมท่องเที่ยวในอีกครึ่งวันในวันพรุ่งนี้ เข้ามาสู่วันที่สาม ซึ่งเป็นวันสุดท้ายอย่างรวดเร็ว วันนี้จะมาเที่ยวกัวลาลัมเปอร์ในสาย culture ซึ่งอย่างที่รู้กันอยู่ประเทศมาเลเซีย เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ คือ จีน มลายู อินเดีย โดยเมื่อเดินจากโรงแรมไปยัง KL sentral ก็จะผ่านชุมชนชาวอินเดีย เห็นได้จากซุ้มประตูซึ่งแสดงเอกลักษณ์ถึงความเป็นอินเดีย หลังจากนั้นจึงเรียก Grab ไปยัง Thean Hou Temple ซึ่งเป็นวัดจีนที่ตั้งอยู่บริเวณเนินเขาในกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งภายในวัดเป็นลักษณะวัดจีนปกติมีเสี่ยงเซียมซี องค์เทพเจ้าต่างๆ เมื่อเสพวัฒนธรรมจีนจนพอดี ก็ได้เวลาไปซึมซับวัฒนธรรมมลายูกันต่อ โดยนั่งรถ GRABไปยัง Istana Negara ซึ่งเป็นพระราชวังของสุลต่านของประเทศมาเลเซีย โดยจะสามารถถ่ายรูปได้ภายนอกเท่านั้น เมื่อถ่ายรูปกับพระราชวังเสร็จสิ้นแล้ว จึงได้ฤกษ์กลับโรงแรมเพื่อไปเช็คเอ้าท์แล้ว นั่งรถไฟฟ้าไปยังสถานี Pasar sani เพื่อที่จะไป Chinatown Kuala Lumpur โดยเดินไปไมไกลจากสถานีก็จะพบกับ บริเวณปากทางเข้าของถนน Petalling Street ซึ่งเป็นทางเข้าถนนเยาวราชของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ภายในเป็นบริเวณชุมชนชาวจีนในกัวลาลัมเปอร์ เป็นถนนช็อปปิ้งและสตรีทฟู้ดสไตล์เยาวราช และมีร้านอาหารชื่อดังคือร้าน Koon Kee เป็นร้านบะหมี่เกี๊ยว ชื่อดังแสนอร่อยในราคาจานละ 8 ริงกิต เมื่อทานอิ่มแล้วจึงได้ฤกษ์กลับไปที่ KL sentral โดยใช้วิธีนั่งรถไฟฟ้าเหมือนเดิมแล้วเดินทางไปที่ใต้ห้าง Nu sentral เพื่อที่จะนั่งรถบัสไปสนามบิน KLIA 1 ในราคา 15 ริงกิต เดินทางกลับโดยสายการบิน Malindo Air เหมือนเดิมใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงก็เดินทางมาถึงกรุงเทพมหานครโดยสวัสดิภาพ สำหรับค่าใช้จ่ายมีดังนี้ ค่าโรงแรม 2 คืน + ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ 3,045 บาท ค่าอาหาร+ค่าเดินทาง 1,371 บาท ค่าบัตรชมฟุตบอล 450 บาท ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 4,866 บาท ก็ถือว่าเป็นการเชียร์ทีมชาติไทยในต่างแดนโดยใช้งบประมาณไม่เกิน 5,000 บาท ก็อยากเชิญชวนแฟนฟุตบอลทีมชาติไทยหรือชาวไทยทุกคน หากท่านอยากจะเชียร์ทีมชาติไทยในต่างแดนโดยใช้งบประมาณไม่เยอะบวกการท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยความสุขและรอยยิ้มก็ขอแนะนำประเทศมาเลเซียเลยครับ หากฟุตบอลทีมชาติไทยมาเยือนประเทศมาเลเซียอีกผมก็จะไปอีก ขอขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบครับ😊