ในชีวิตเราต่างมีการเดินทางที่หลากหลายรูปแบบ บางคนเดินทางในโลกกว้างเพื่อเรียนรู้ บางคนเดินทางเพื่อสะท้านมุมมองของตัวเอง บางคนเดินทางเพื่อหาความหมายของคำว่าอิสระภาพไปจนกระทั่งค้นหาความหมายของเสี้ยวชีวิต ไม่ว่านิยามการเดินทางของแต่ละคนจะเป็นอย่างไรแต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเราต่างเข้าใจตัวเองมากขึ้น เกริ่นได้ดีแบบนี้แสดงว่าทริปที่เราจะนำมาเล่าต้องทรงคุณค่าแห่งปีเลยใช่ไหมล่ะ ตอบได้ทันทีเลยว่าหึ (ขำแห้ง) สถานที่ที่เราอยากไปคือภูกระดึงช่วงเมษา อ่านถึงตรงนี้หลายคนคงอยากด่าว่าโง่หรือบ้า ไปเดินได้ไงอย่างนั้นมันหน้าร้อน ซึ่งยอมรับว่าโง่จริง ฮ่าๆ เอาจริง ๆ นี่มีเหตุผลนะที่ตัดสินใจไปในช่วงที่ไม่มีใครเขาไปกัน นั่นก็เพราะการที่เราเดินในที่เงียบ ๆ เราจะสามารถฟังเสียงใจตัวเองเต็มที่ โดยไม่ต้องไปยึดติดกับเสียงคนอื่นไงล่ะ ตอนแรกคือถูกกดดันทุกทางจนถึงขั้นลังเลว่าจะไปต่อดีไหม หรือพอแค่นี้ ถ้าพอ เราไม่ต้องเสี่ยงไม่ต้องเหนื่อยสบายจะตาย แต่แล้วมันจะต่างอะไรกับชีวิตเดิม ๆ ล่ะ จริงไหม เราเลยยื่นข้อเสนอว่าถ้ารู้ตัวว่าไม่ไหวจะไม่เสี่ยง พอพ่อกับแม่สบายใจ ก็ถึงเวลาออกเดินทางสู่โลกกว้างเพื่อฟังเสียงใจตัวเองสักที . ... รถรอบเที่ยงคืนมาถึงผานกเค้าตอนตีสี่ วัยรุ่นสองคนพากันเดินลงรถมาแบบงง ๆ ตอนแรกก็ทำใจไว้แล้วว่าช่วงนี้นักท่องเที่ยวน่าจะน้อย แต่ก็ไม่คิดว่าคนเต็มคันรถจะลงกันแค่สองคน (มองหน้าเพื่อนแล้วยิ้มแห้งลยจ้า) ในที่สุดดด... ฟ้าก็ส่งตัวหารค่ารถสองแถวมาเพิ่ม เพื่อนใหม่ที่เจอตอนนั่งกินกะเพราไข่ดาวอยู่คนเดียวเหงา ๆ สวัสดีจ้าเราชื่อกิมนะ และนี่เลเล่ เราขึ้นพร้อมกันไหม เพื่อนใหม่เราชื่อเกด จำได้ว่าเราเป็นฝ่ายเข้าไปทักก่อน เพื่อนก็ส่งยิ้มให้เรา และช่วงนั้นก็เป็นช่วงบุพเพฟีเวอร์ เพื่อนเลยได้ชื่อใหม่ว่าแม่หญิงการะเกด เรารอรถอยู่นานสองนานก็ไม่มีคนมาเพิ่มซะที จนในที่สุดทั้งรถก็มีกัน 3 คน จ่ายเหมา ๆ คนละร้อยไปเล้ย ถ่ายรูปกับเพื่อนใหม่ ^^ อันดับแรก เราต้องไปเชคอินก่อนจ้า มีประกัน 10 บาทด้วยนะ จากนั้นก็ไปชั่งสัมภาระ เขียนโน่นนี่อีกนิดก็เป็นอันเสร็จ เรากับเพื่อนและเพื่อนใหม่ผลัดกันเซ็นเอกสารอยู่หลายต่อหลายฉบับ ได้เวลาเดินขึ้นกันแล้ว... แค่ปีนตีนเขาก็เหนื่อยแล้ว ขอพักก่อนละกัน มองหน้ากันต่างคนต่างหน้าเหลือง แต่เพื่อนใหม่คือชิลล์มากเดินตัวปลิวเลย พอถึงร้านค้าพวกเด็กกระเตาะ 2 คนพาแวะกระจายรายได้ทุกร้าน ย้ำทุกร้าน!! น้ำแข็งใส แตงโม โซดาน้ำแดง แม้กระทั่งสปอนเซอร์ทุกอย่างคือเด็ดดวงจริง ๆ ในรูปคือน้ำแข็งใส ใจจริงแม่ค้าไม่ใส่เครื่องให้เล๊ยยย 5555 พร้อมรบแค่ไหน ดูถุงน้ำหวานในมือก็น่าจะรู้ เรากับเพื่อนแวะจนแม่ค้าปอกมะม่วงให้และบอกว่าเอาไปกินแก้เหนื่อยนะลูก ได้ยินแล้วคือมีความสุขมากเลย เขาเป็นห่วงนักท่องเที่ยวแบบเราด้วย และมะม่วงน้ำใจถุงนี้แหละช่วยชีวิตเราช่วงหิวจัดกลางป่าลึก ช่วงที่คนน้อยซำสูง ๆ จะปิด เพราะงั้นจงซื้อตุนเอาไว้อย่าชะล่าใจว่าอิ่มแล้วไปหากินข้างบนก็ได้ คิดแบบนั้นผิดมหันต์เลยจ้า ยิ่งสูงยิ่งเป็นพื้นที่ที่เขาต้องใช้แรงปีนป่ายมาก พอถึงข้างบนก็ไม่ใช่ว่าจะถึงที่พักเลย เราต้องเดินไปอีก 4 - 5 กม. เพราะงั้นถ้ามีคนเตือนก็เตรียมน้ำสักขวดขนมสักห่อไปด้วยนะคะ ด้วยความหวังดีจากผู้หลงผิดมาแล้ว ระหว่างพัก พวกเราจะบอกเพื่อนใหม่เสมอว่า ให้ไปก่อนเลย เเต่เพื่อนใหม่จะคอยหยุดเป็นระยะเพื่อรอเราเสมอ ในรูปคือร้านค้าปิดหมด ผู้หญิงสามคนมองหน้ากัน เพราะว่าวังเวงมากกก (ก.ไก่ ล้านตัว) จะไปหาห้องน้ำก็ต้องเหน็บกันไป ห้องน้ำดันล็อคอีก มองซ้ายมองขวาแล้วหาพุ่มไม้สิงานนี้ ปลดทุกข์ไปเรียกชื่อกันไปเพิ่มสีสันการเดินป่ามาก ฮ่าๆ คนน้อย ๆ มันดีต่อใจนะ แต่บางทีการเดินป่าที่มีแค่ผู้หญิงสามคนก็วังเวงไม่ใช่น้อย ขาขึ้นมองหาเพื่อนร่วมทางไม่เจอเลยสักคน มีแต่นักท่องเที่ยวคนอื่นที่กำลังเดินสวนมากลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้าง เนื่องจากก่อนหน้านั้นไม่กี่วันมีงานสรงน้ำพระบนภู ยิ่งช่วงใกล้ถึงนะ ยิ่งวังเวง เสียงจิ้งหรีดเรไรกับทางเดินในป่าทึบ โหหห...วัดใจกันสุด ๆ คำพูดที่ว่า อีกนิดเดียว สู้ ๆ นะ จากคนหลากหลายที่ต่างก็มีจุดหมายเดียวกันนี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีกำลังใจในการก้าวต่อไปไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยเราก็สุขใจที่ได้เลือกเดิน แต่บางทีคำนั้นก็เหมือนการหลอกลวงเรานะ เพราะเดินยังไงก็ไม่ถึงสักที ฮ่าๆ หลังจากเดินตีกับผึ้งป่ามานานแสนนาน แต่ในที่สุด... ก็ถึงแล้วจ้าาา "ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตภูกระดึง" เห็นป้ายแล้วถึงกับปาดเหงื่อปาดน้ำตากันเลยทีเดียว แต่ยังนะ ยังไม่ถึงที่พักต้องเดินต่อไปอีกกก พอเดินมาเจอศาลก็จัดการบอกกล่าว จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ... เราใช่เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงก็ถึงที่หมายบรรยากาศ คือ ลานกวางกว้างมว๊ากกกก สามารถเลือกได้เลยว่าจะกางเต็นท์นอนตรงไหน เนื่องจากตอนนี้ทั้งภูน่าจะมีนักท่องเที่ยวแค่สามคนนั่นก็คือพวกเราเอง >////< เรายิ้มให้เพื่อนใหม่คนที่จองตั๋วกลับตรงกันกับเราโดยบังเอิญแบบเห่ย ๆ แล้วพูดจาหว่านล้อมชวนเขามานอนเต็นท์เดียวกัน เพื่อความประหยัด และความปลอดภัยจนเขาตอบตกลงจึงไปทำเรื่องขอเช่าเต็นท์ ตอนไปทำเรื่องเช่าเต็นท์ จำได้ว่าขอเช่าผ้าห่มไว้สองผืนแล้วพี่พนักงานก็มอง สักพักหยิบเพิ่มให้อีกผืน พี่เขาบอกว่าตอนกลางคืนมันหนาวเอาไปห่มกันคนละผืนดีกว่า เราสามคนก็มองหน้ากันแล้วกล่าวขอบคุณก่อนแยกย้ายไปจัดการเต็นท์ต่อ ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองโชคดีขนาดนี้มาก่อนเลยจริง ๆ พอจัดการที่หลับที่นอนเสร็จไม่ทันไรฝนก็ตกลงมาอย่างชุ่มฉ่ำเหมือนเจ้าป่าเจ้าเขาอวยพรให้พอเป็นพิธี . จากนั้นก็ได้เวลาออกเซอร์เวย์ เราเลือกที่จะไปผาหมากดูกกัน เพื่อไปดูพระอาทิตย์ตก ตอนแรกสะกิดเพื่อนใหม่บอกเจ้ ๆ ชวนนักท่องเที่ยวต่างชาติไปด้วยกันดิหาเพื่อน เพื่อนใหม่ก็ไปชวน...ชวนกันไปชวนกันมา กลายเป็นเขาได้บอกทางเราเฉยเลย หน้าตอนนั้นแบบอิหยังวะ //เดินไปกันสามคนต่อสิคะ รออะไร เขาไม่ไปด้วย (ทำหน้าสลด ฮ่าๆ) บรรยากาศหลังฝนตกคือดีมากช่วงเย็น ๆ แสงสวย ฟ้าใส คืนนั้นมีนักท่องเที่ยวนอนค้างภู ทำให้เราพอมีเพื่อนอยู่ หลังฝนตกทุกคนจะเตือนเรื่องน้องทากกันเยอะมาก แต่ใครจะไปคิดล่ะว่า น้องออกมาเพ่นพ่านตอนอาบน้ำ คือพีคมาก เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เคยเห็นทาก และเป็นครั้งแรกที่ต้องอาบน้ำกับทาก อาบไปกรี๊ดไป น้ำก็หนาว กลัวก็กลัว บรื๋ออ... จำได้ว่าตอนนั้นเต็นท์ขาด แล้วพี่ข้างเต็นท์เป็นห่วงมาก และก็ขำหนักมาก ตอนเห็นเราโรยแป้งรอบเต็นท์ พี่เขาว่าเพิ่งเคยเห็นคนทำแบบนี้ ฮ่าๆ สำหรับคืนแรกก็ผ่านไปด้วยดีถึงจะนอน ๆ อยู่หัวก็โผล่ออกนอกเต็นท์ก็เถอะ วันที่ 2 ตื่นเช้ามาพร้อมกับปลุกเพื่อนสไตล์ฮาร์ดคอร์ เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันตั้งแต่เช้ามืด เราเป็นวันรุ่นกลุ่มสุดท้ายจากนักท่องเที่ยวทั้งหมด 3 - 4 กลุ่ม เราเดินรั้งท้ายกลุ่มจนลุงเจ้าหน้าที่คนหนึ่งชะลอความเร็วและเดินคุยเป็นเพื่อนพวกเรา มีการคุยกันหลายต่อหลายเรื่อง แต่ที่เด็ดสุดน่าจะเป็นเรื่องถ้าเจอช้างป่าต้องทำยังไง ลุงเลยบอกว่าก็คงต้องถือกระบอกไฟฉายแล้วเผ่นป่าราบกันทำเอาพวกเราหัวเราะร่วนเลย และลุงก็เล่าต่อไป นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมาฤดูนี้ เพราะคิดว่าอากาศร้อน แต่ผิดขนัดข้างบนอากาศดีทั้งปี พระอาทิตย์ขึ้นที่ว่าสวยในทุก ๆ ฤดูหรือแม้แต่ทุกวันพระอาทิตย์ยังทอแสงสวยไม่ซ้ำกัน แถมช่วงนี้ลุงยังบอกด้วยว่าโชคดีเพราะเป็นช่วงที่ดอกไม้ป่าออกดอกสะพรั่งอีกด้วย ที่สำคัญที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อนบนภูกระดึงมีต้นบ๊วย! ขุ่นพระ...มิชชั่นหน้าน้องจะไปหาบ๊วยมาดอง >-<!! ขากลับลุงไม่ลืมถามว่า จะกลับพร้อมกันไหม เราเลยอิดออดเล็กน้อยเพราะอยากดูดอกไม้ตามทาง แต่หันไปอีกทีลุงเดินไปถึงโน่นแล้ว ไวมากกก ดอกไม้ริมทางหลายสายพันธุ์ ทั้งกุหลาบป่า ละอองดาว หม้อข้าวหม้อแกงลิง ต่างพากันบานประชันความงามอย่างไม่มีใครยอมใคร หม้อข้าวหม้อแกงลิงกระเปราะแตก สองต้นข้างล่างไม่รู้จักชื่อ ใครรู้ช่วยบอกเราหน่อยนะคะ ไหว้วาน ๆ หลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้นเราก็ตั้งหลักเพื่อจะเดินไปเที่ยวสายน้ำตกต่อ ตอนแรกพี่เต็นท์ข้าง ๆ ก็เตือนว่าให้ซื้อถุงเท้ากันทากไปด้วยแต่พวกเด็กห้าวก็ไม่เชื่อ สุดท้ายได้วิ่งร้องป่าแตกกลับมาเป็นกิโลฯ เพื่อมาซบอกป้าแม่ค้า ป้าเขาก็ใจดีให้เรายืมกระเป๋าสะพายแถมหยิบสเปรย์กันทากขวดน้อยให้ไปใช้ระหว่างทางด้วย เคยดูหนังซอมบี้กันใช่ไหมคะ ในหนังซอมบี้เกาหลีส่วนใหญ่จะมีฉายที่พระเอกต้องวิ่ง วิ่ง และวิ่งหนีซอมบี้เป็นว่าเล่น วันนั้นพวกเราสามคนก็อารมณ์ประมาณนั้นเลย วิ่งหนีชนิดที่ว่าลืมเหนื่อย ยิ่งเข้าป่าลึกโทรศัทพ์ยิ่งไม่มีสัญญาณ หลายครั้งที่เห็นอุนจิช้างสดใหม่ ไหนจะรอยหักกิ่งไม้น้อย ๆ ไว้ตามทางอีก...ในใจได้แต่นึกว่า เพื่อนฉันลูกคนเดียวนะ แกจะโผล่มาไล่เพื่อนฉันไม่ได้นะเดี๋ยวบ้านมันไม่มีคนสืบสกุล แบบนี้วนไป เส้นทางธรรมชาติที่ (ไม่น่า) มีคนมาเดินนานมากแล้ว อุดมสมบูรณ์ไปด้วยหยากไย่ ใบไม้แห้ง มอส และที่สำคัญ อี้ช้างป่า และ ทะเลทาก เป็นประสบการณ์ใหม่ที่เด็กเมืองกรุงอย่างเจ้เกดและเด็กชนบทอย่างเราสองคนไม่อาจลืมได้เลยตลอดชีวิตนี้... นี่คือน้ำตกวังกวางไหม จำไม่ได้แต่ที่จำได้แม่นคือก้มมองรองเท้าตอนนั้นเห็นทากเกือบ ๆ สิบตัวเกาะ คุณพ่อเอ๊ย อิฉันร้องเสียงหลงเลยเจ้าค่ะ ร้องดังแทบสิ้นสติเลยก็ไม่ปาน //เลียนเสียงแม่หญิงเกศสุรางค์ แท้แด่มมม และนี่คือถุงเท้าหลากสีที่เอาไว้กันทาก หลังจากวิ่งวนกลับไปโลฯ กว่า ๆ เพื่อไปซื้อ ถ่ายอวดหน่อยเร๊ววว เดินเส้นน้ำตกเดือนเมษา ก็ไม่ได้แย่นะเออ น้ำไม่ค่อยใส ไหลไม่ค่อยแรง แถมปลายังไม่มี มีแต่ทาก ฮ่าๆ แต่มีดอกกล้วยไม้นะสวย ๆ จากธรรมชาติด้วย พิกัดน้ำตกเพ็ญพบใหม่แหงนหน้าให้สุดระวังฝุ่นเข้าตาด้วยอย่าหาว่าไม่เตือน ไม่เคยคิดว่าภูกระดึงจะมีที่แบบนี้มาก่อนเลย ตอนแรกคิดว่าจะมีแต่หน้าผากับพระอาทิตย์ตก พอถ่ายรูปเพื่อนร่วมทางแล้ว แบบหึ้ย ทำไมภาพเราไม่ได้แบบนี้บ้างอ่ะ ถ้าถามว่าคิดยังไงถึงยังไปต่อในเมื่อไม่มีใครสักคนแล้วขอตอบเลยว่าก็ฉันห้าวอ่ะ ฮ่าๆ อย่าเพิ่งด่านะจริง ๆ ก็ประเมินตัวเองกับเพื่อนไว้บ้างแล้ว ไม่ไหวก็จะกลับแต่เผอิญว่าไหวไงก็เลยไปต่อ และถ้าถามว่ากลัวไหมตอนเดินป่าที่เป็นป่าจริง ๆ ไม่ได้ฟรุ้งฟริ้งเหมือนที่เคยเดินมาตอนเรียนยุวกาชาด นี่ก็ตอบได้เลยว่าทั้งกลัวทั้งหลอนเลยแหละ เพื่อนร่วมทางมีกันแค่นี้แถมบางเส้นไม่ได้เลียบน้ำตกตลอด ต้องเดินเข้าเขตป่าซึ่งรอยทางก็ถูกใบไม้กลบไป บางครั้งเดินลงน้ำตกแล้วหาทางไปต่อไม่เจอเลยรู้ว่าเดินผิดเส้นก็มี ได้เดินกลับไปตั้งหลักใหม่ก็บ่อย แถมอากาศในป่าทึบก่อนฝนจะตกยังอ้าวจนหายใจแทบไม่ออกอีก ตอนนั้นจะพักก็กลัวทากกลัวฝนเลยรีบเดินต่อให้สุด ๆ ไปเลย นี่คือน้ำตกถ้ำใหญ่ เป็นที่สุดท้ายก่อนจะได้ออกจากป่า พอเห็นป้ายแล้วถึงกับยิ้มอ่อน อีกโลฯ กว่า ๆ เอ๊งงงง ย้ำ เอ๊งงงงงง องค์พระพุทธเมตตาที่คนในพื้นที่พากันสรงน้ำไปเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว พอกลับมาก็ซัดข้าวเที่ยงกันต่อ ร้านป้าพี่แนน (พี่ที่เดินสวนกันวันขึ้นภู) แนะนำให้ดูแลเราดีมาก นั่ง ๆ อยู่ฝนก็ตก ป้าก็บอกเราให้ปิดเครื่อง เพราะฟ้าข้างบนแรงมาก ผ่ากันเปรี้ยงปร้างตลอดเวลาที่ฝนตก แต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ตลกแปลก ๆ นะ นั่งกินไปป้าเขาก็ชี้ให้ดูว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนลงต้นสนต้นนี้ วันนี้ก็ต้องมาลุ้นเป็นเพื่อนป้าอีกว่าจะลงต้นไหน ฮ่าๆ แพลนที่ว่าจะไปเดินเส้นหน้าผาต่อก็ต้องหยุดชะงักไปเมื่อฝนดันตก เลยได้กลับไปนอนเอาแรงตื่นกันอีกทีบ่ายสามกว่าฝนหยุดตกและอากาศเย็นสบายพวกเราจึงได้ออกเตร่กันอีกครั้งคราวนี้เป้าหมายคือจะไปหล่มสัก เปิดเต็นท์มาคือดีมากสนามโล่งเต็นท์ไม่เยอะเหมือนช่วงหน้าหนาว สวยกันคนละแบบ (เริ่มอวยตัวเองให้ไม่รู้สึกผิด ฮ่าๆ) จงบรรยายความรู้สึกของคุณ เมื่อทางที่จะไปไม่มีทาก แต่คุณดันไม่รู้ว่าต้องถอดถุงเท้ากันทากไว้ที่เต้็ท์ เลยถอดมาผูก ๆ กับไม้พาดบ่าแบกซะเลย คือสงสัยมากว่าตอนนั้นเลเล่มันแบกแบบนี้ไปได้ยังไง (พิมพ์ไปขำไปและขำดังมาก) ฮ่าๆ ดอกกระเจียวป่า นึกถึงทุ่งกระเจียวที่มีกระเจียวพรึบพรับเลยอ่ะ แต่จริง ๆ คือมีแค่หรอมแหรม (-_-)! ภาพสวย ๆ วิวใหม่ ๆ ที่ข้าพเจ้าไม่อยากถ่ายซ้ำกับนักท่องเที่ยวคนอื่น เลยได้ออกมาแบบนี้กัน แบบนี้ แบบนี้... และ...แบบนี้ ฮ่าๆ เดินไปได้ประมาณโลฯ กว่าเกือบถึงผาเหยียบเมฆ อยู่ ๆ ได้ยินเสียงลมดังขึ้นแปล กๆ เพื่อนในวงเริ่มมีการสะกิดไหล่กัน... สักพักไอหมอกขาว ๆ ถูกดึงจากป่าด้านล่างพุ่งขึ้นมาไล่ เหมือนใครเอาพัดลมมาเปิดใส่ ตอนนั้นทุกคนใจเริ่มเสีย เริ่มคิดว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ดี หมอกจากผืนป่าด้านล่างคือลอยเป็นสายขึ้นมาปิดทางข้างหน้าจนมองไม่เห็นอะไรเลย เสียงลมที่เคยได้ยินหอบเอาไอน้ำขึ้นมาปะทะผิวจนเย็นยะเยือกไม่จบแค่นั้นจ้า ลมนั้นหอบเอาไอน้ำพัดขึ้นเข้าป่าลึกไปพร้อมกับเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง! เท่านั้นแหละ...เราสามคนมองหน้ากันแล้วโกยแน๊บ หนีดงหมอกมฤตยูที่แผ่มาทางด้านหลัง ใจในตอนนั้นคือคิดว่าถ้าหมอกข้างหลังกลืนเราเข้าไป เราจะมีชีวิตกลับไปเจอพ่อแม่ไหมว้า แค่นั้นเลยที่คิดจริง ๆ ภาพก็ดูสวยนะ แต่เสียงลมกับบรรยากาศตอนนี้คือไม่ผ่านอย่างแรง กดแชะแล้วเหยียบร้อยคูณร้อย ตอนแรกทัศนวิสัยไกลมากแต่จู่ ๆ หมอกมฤตยูก็แผ่ปกคลุมแถมยังคลืบคลานไล่หลังมา ตอนนั้นนึกถึงแค่สองอย่างคือพ่อแม่กับเจ้าป่าเจ้าเขา . ตอนนั้นเวลาห้าโมงกว่า ขาที่ว่าปวดจนก้าวไม่ออกแล้วคือสามารถวิ่งได้ตัวปลิวเลย ผลจากอะดรีนาลีนหลั่ง ตามสายทางที่เคยมีคนเดินสวนกันสักสองสามคนไม่เหลือใครเลย หล่มสักก็หล่มสักเถอะ ตรูไม่ไปแล้วว ขากลับระยะทางกว่าหกกิโลฯ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง จากคนที่ไม่เคย ไม่เคยวิ่งมาก่อน ทุกคนคือสวมวิญญาณนักวิ่ง เผยศักยภาพที่ไม่เคยคิดว่ามีออกมาให้เห็นกันเลยทีเดียว ทันทีที่เดินมาถึงเต็นท์ฝนก็เริ่มลงเม็ด เรารีบฝ่าไปร้านค้าฝากท้องกับหมูกระทะที่แต่ก่อนคิดว่าค่อดแพง ใครกินนี่ค่อดไร้สาระ วันนั้นเท่าไหร่ก็ยอมจ่ายเหนื่อยมาก ล้ามากกกก เรานั่งกินหมูกระทะกันท่ามกลางสายฝน สายฟ้าและอุณหภูมิที่ลดฮวบแบบไม่ทันตั้งตัว รู้ตัวอีกทีเหลือแต่ซากละ ฮ่าๆ ขากลับเราเดินเกาะกลุ่มกันผ่านซากก้อนลูกเห็บ เพื่อจะไปอาบน้ำนอนเพราะเหนื่อยจนสุดจะทนแล้ว แบบว่าแค่คิดก็มีความสุขแล้วอ่ะนะ แต่อย่าคิดนะจ๊ะว่าความสวยมันจะจบลงแค่นี้... จำได้ม้าาา ที่เคยบอกว่าเต็นท์เราขาด คราวนี้คือพีคมาก ทากตัวบะเร่อสองตัวไต่กระดึ๊บอยู่ในเต็นท์ จังหวะนั้นคือรัศมีเกือบหนึ่งกิโลฯ ไม่มีใครอยู่เลยเว้ยแก ร้านค้าก็ปิดตั้งแต่เราเดินออกมา เต็นท์ที่คนอื่นเคยนอนก็ถูกลมพัดคว่ำไปคนละทิศคนละทาง คือตอนนั้นต้องแกร่งแค่ไหน ผู้หญิงสามคนพากันไปปล้นเต็นท์ใครก็ไม่รู้ ทะยอยขนของเข้าทีละชิ้น ส่องดูของทุกอย่างส่องแล้วส่องอีกกลัวว่าจะได้ของแถมเข้าไปนอนด้วย กว่าจะเคลียร์ที่นอนใหม่เสร็จ แทบหลับกลางอากาศ ยิ่งได้ยินข่าวว่าเขาจะปิดไฟหลังสี่ทุ่มยิ่งยิ้มอ่อนให้ เขาคงไม่ใจร้ายดับไฟห้องน้ำตอนที่เราอาบน้ำอยู่ใช่ป๊ะ ฮ่าๆ พอเคลียร์ทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อย ทุกคนพากันซุกร่างลงในผ้าห่มอุ่น ๆ พร้อมกับฟังเสียงกวางเล็มหญ้าหลับไปตอนไหนไม่รู้แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีตะวันส่องจ้าเลยจ้า วันที่ 3 เราตื่นแต่เช้าเก็บสัมภาระ เอาร่มไปคืนแม่ค้าแล้วบอกลากัน รู้สึกใจหายนิด ๆ แต่ทุกอย่างต้องรีบเพราะไม่อยากตกรถ ตอนไปล้างหน้าเห็นถุงเท้าเพื่อนวางอยู่หน้าห้องน้ำนี่ก็บ่นกวางคนเดียวเหมือนคนบ้า บังอาจมากที่ขโมยถุงเท้าเพื่อนเรามาทิ้งไว้นี่ เล่าไปก็ขำไป... พอเก็บของเสร็จเจ้เกดก็ชี้ถุงเท้าให้เลเล่ดู แล้วบอกว่าเธอทำตกไว้ เพื่อนก็ขำกร๊ากขึ้น แล้วเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนอาบน้ำเสร็จก็รีบวิ่ง ทีนี้ทำถุงเท้าตก แต่ไม่กล้ากลับไปเก็บ เลยปล่อยตามเลยไป พอเพื่อนพูดปุ๊บ เรายิ้มอ่อนเลยจ้า นึกในใจฉันอุตส่าห์ว่ากวางไปตั้งเยอะ... กวางคงคิดตรูทำไรผิดก็แค่มากินหญ้าเฉย ๆ ฮ่าๆ ดูความโล่งนี้สิ สงบยิ่งกว่าวัดป่าแถวบ้านอีก ก่อนจะกลับ เลเล่คนเดิมเพิ่มเติมคือกระเป๋าขาดอีก โอ๊ยปวดหัวกับเล่ เข็มด้ายก็ไม่มี พี่เจ้าหน้าที่เลยจัดการด้วยวิธีเรียล ๆ ผูกให้กลายเป็นแฟชั่นใหม่มาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณนะคะที่ดูแลพวกเราอย่างดี ^ ^ ขามาเดินมากี่คนก็กลับเท่านั้นจ้าาา แต่รอบนี้เร็วกว่าเดิมไม่รู้เป็นเพราะวิญญาณนักวิ่งที่สิงเมื่อวานยังไม่ออกจากร่างรึเปล่า โอ๊ะ ๆ เห็นรอยเท้าสัตว์ด้วยตื่นเต้นนนน //เอาจริงเห็นมาหลายวันแล้วเริ่มชิน ฮ่าๆ ขากลับได้เข้าร่วมโครงการเอาขยะลงภูด้วยช่วยกันคนละไม้คนละมือ ทำดีแล้วสบายใจแถมยังได้เกียรติบัตรอีก ยังไหว ยังไหว . . เอาจริงอีกรอบ เริ่มไม่ไหวละ ฮ่าๆ เราสามคนเดินเหงา จนกระทั่งเจอคนกลุ่มหนึ่ง ฉันไม่ได้ลงกลุ่มเดียวแล้ววววว กรีดร้องงง ไม่เคยเจอคนเยอะขนาดนี้มาก่อนเล๊ยตั้งสามคนฮรือออ คราวนี้แหละ ขลังแค่ไหนดูรูปก็พอจะรู้ ได้ความว่า กลุ่มหลวงพ่อกับคุณโทมัสที่เดินนำหน้าเราไปนี้คือกลุ่มที่เดินขึ้นวันเดียวกับเราเเต่เขาเดินขึ้นบ่ายสอง ภรรยาคุณโทมัสเล่าให้ฟังว่าวิ่งหลบฝนกันใต้ต้นไม้ทากก็เยอะตะคริวก็กินไปสองรอบ กว่าจะถึงบ้านพักก็สองทุ่ม ตื่นเช้ามาจะไปเที่ยวน้ำตกก็มีคนบอกทากเยอะเลยไม่ได้ไปกัน ซึ่งคนที่บอกน้าน ก็น่าจะเป็นพี่สองคนที่พวกเราเจอ และเตือนมากับปาก นี่แหละหนาฉันเคยทำบุญต่อเขามานั่นเอง ฮ่าๆ ขาลงไม่เจออะไรมากก็แค่ฝูงวัวดักหน้า ฝูงทากอีกเล็กน้อย ยิ่งเดินต่ำลงเราก็เริ่มเห็นคนหลายเพศหลายวัยเดินสวนทางขึ้นมา บ้างก็มาคนเดียว บ้างก็มากันเป็นครอบครัว หรือแม้แต่กระทั่งพระอาจารย์ที่พาลูกศิษย์เดินสวนกันไปเราเลยได้มอบไม้ค้ำอันทรงคุณค่าเพื่อหวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อพระอาจารย์ต่อไป สาธุ . ระหว่างทางเราเจอลูกไม้ป่าเเละเก็บไว้เนื่องจากมั่นใจว่าเป็นลูกบ๊วย จนกระทั่งไปถามตรงประชาสัมพันธ์ได้ความว่ามันคือซ่านหิ่ง ลุงเจ้าหน้าที่ก็ถามว่าไปเอามาจากบนเขาเหรอในใจคือสั่นระรัวมากกลัวติดคุก แต่สุดท้ายก็โล่งอกเพราะลุงบอกว่าไม่ได้กินมานานหลายปีแล้ว สุดท้ายได้นั่งตั้งวงกินซ่านหิ่งกับเจ้าหน้าที่และแม่ค้าขายหวย ฮ่าๆ เเละนี่เกียรติบัตรรรรรร แอร๊งงงงงงง และผ่างงงงง ตีสนิทโบกรถเขามา ลาก่อนภูกระดึง ถ้ามีโอกาสเราจะกลับไปล่าลูกบ๊วยอีกนะ ถ้าถามว่าโบกใครมา ก็คุณโทมัสกับภรรยานั่นแหละ😂😂 ตัดสินใจขอติดรถเขามาเพราะความงกมันบังตา ตอนแรกเกร็งมากกลัวเขาแอบด่าเป็นภาษาอื่น แต่ทุกอย่างก็ลงตัวขึ้น เมื่อเราพยายามเข้าหาเขาและเขาก็พยายามโต้ตอบแสดงความเป็นมิตรกับเรา...สุดท้ายพอได้นั่งร่วมโต๊ะทานข้าวด้วยกัน ก็ทำให้ได้รู้ว่าคุณโทมัสและภรรยาน่ารักมากกกก และคุณโทมัสเส้นตื้นมากกกก แค่เห็นพวกเรากระพริบตาก็หัวเราะได้ ฮ่าๆ ก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันกลับไปในที่ของตนเอง ก็ได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกไว้ 📨💞 และสุดท้ายต่างคนก็ต่างกลับมาในที่เดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมตรงที่การเดินทางครั้งนี้ทำให้เรามีเพื่อนเพิ่มขึ้น . เคยได้ยินหลายคนบอกว่า ไปคนเดียวก็สามารถหาเพื่อนได้ คำกล่าวนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะนักเดินทางทุกคนต้องมีการปรับตัวตามสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา . อุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางจะวัดความมีสติของเรา แต่บางครั้งเพื่อนร่วมทางก็จะเป็นตัวช่วยให้ความคิดของเรารอบคอบมากยิ่งขึ้น . นั่นเพราะจุดนั้นเราไม่สามารถคิดถึงแต่ชีวิตตัวเองได้ แต่เราต้องคิดถึงชีวิตเพื่อนร่วมทาง หากตัดสินใจผิดพลาดไป ในฐานะตัวตั้งตัวตีคงรับผิดชอบไม่ไหวแน่เพราะฉะนั้นการตัดสินใจในแต่ละครั้งต้องไม่พลาด . :. 🔸ขอขอบคุณเจ้การะเกดผู้มาคนเดียวที่ทำให้ทริปเราสุดมากขึ้น 🔸ขอขอบคุณแม่ค้าทุกซำที่แจกแถมอาหารประทังชีวิตให้พวกเรา 🔸ขอขอบคุณพี่ที่นอนอยู่เต็นท์ข้าง ๆ ที่ช่วยถ่ายรูปและทักเรื่องถุงกันทาก 🔸ขอขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาที่คอยปกปักคุ้มครองไม่ให้ได้รับอันตราย 🔸ขอขอบคุณมิสเตอร์โทมัสและภรรยาที่ทำให้เราประหยัดค่ารถไปต่อชีวิตอีกมากโข 💗ที่ขาดไม่ได้เลยคือครอบครัวและนักอ่านทุก ๆ ท่าน ที่ทำให้ทริปครั้งแรกของเราลุล่วงไปได้ด้วยดี สำหรับจบทริปนี้ขอตัวไปซ่อมร่างยาว ๆ ปล.อยากฝากไว้สำหรับคนที่อยากไป ถึงจะเมษา แต่อากาศไม่ร้อนนะ ช่วงที่ไปคือกลางคืนอยู่ประมาณ 15 องศา ยิ่งคืนที่ฝนตกลงมาหลักเลขตัวเดียวเห็นจะได้เลยล่ะ ถึงจะพักศาลาแต่ศาลาก็ไม่มีไฟฟ้านะ ต้องเตรียมแบตหรือไฟไปให้พร้อม ช่วงคนน้อย ๆ ร้านค้าจะไม่ค่อยมีทอนแบงค์ใหญ่ จำได้ว่าไปกันสามคนทุกคนพร้อมใจกันพกแบงค์ใหญ่ไป สุดท้ายไม่มีทอน ฮ่าๆ บางร้านโอนได้ แต่ปัจจุบันไม่มั่นใจว่าโอนได้ทุกร้านหรือยัง ก่อนนอนควรตรวจดูให้ดีว่ามีทากอยู่ในเต็นท์ไหม ไม่งั้นเราอาจจะได้นอนกับทากทั้งคืนก็เป็นได้ หุหุหุ และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด การเที่ยวป่าคือการที่เรามาเรียนรู้ธรรมชาติ เพราะงั้นอย่าทำลายสิ่งที่สวยงามเพราะความมักง่าย ขนาดเรายังยอมลำบากเพื่อจะได้ไปดูธรรมชาติสวย ๆ ถ้าลูกหลานเราต้องเหนื่อยขึ้นไปแล้วได้เห็นแค่ซากขยะที่เราทิ้งไว้ความรู้สึกคงไม่น่าชื่นชมเท่าไหร่ ขอบคุณค่ะ🙏 See You....