สวัสดีค่าาา วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์การไปเที่ยวที่ประเทศอินเดีย ให้เพื่อน ๆ ฟังกันนะคะ แรกเริ่มตอนบอกคนรอบๆ ตัวว่าจะไปเที่ยวอินเดีย ทุก ๆ คนรัวคำถามมาเป็นชุด ๆ ไปทำไม ทำไมไม่ไปประเทศที่เจริญแล้ว ทำไมต้องไปประเทศที่มีข่าวการลักพาตัว และดูอันตรายแบบนั้นด้วย และอีกหลายคำถามมากมาย แต่ก็เข้าใจในความกังวลของคนรอบตัว เลยได้แต่รับปากว่าจะดูแลตัวเองให้ดี เมืองที่เลือกไปคือ เมืองบังกาลอร์ ที่ใครๆ เรียกว่าเมืองไอที แต่ฉันเจอมากกว่านั้น—ความหลากหลาย อาหารรสแปลก ๆ ชีวิตคนท้องถิ่น และเสียงแตรที่ไม่เคยหยุด นี่คือ 7 สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้จากการเดินทางท่องเที่ยวในอินเดียใต้ ที่อยากส่งต่อให้คนที่ยังลังเลจะออกเดินทาง 1. อาหารอินเดียใต้คืออีกจักรวาลที่ไม่เหมือนที่เคยกินในไทยเลย ก่อนมา ฉันได้ลองเปิดประสบการณ์ลองกินอาหารอินเดียที่ประเทศไทย เพื่อให้ตัวเองรู้ว่ารสชาติของอาหารที่เราจะไปเจอมันเป็นยังไง แต่พอมาถึงบังกาลอร์ ฉันได้ลอง “Masala Dosa” แป้งแผ่นบางกรอบ โปะด้วยก้อนมันฝรั่ง และเนยจืด โรยด้วยมะพร้าวและผักสีเขียวอะไรสักอย่าง แป้งจะรสชาติเผ็ดและเค็มนิดหน่อย วิธีกินนั้นไม่แน่ใจแต่คิดว่าน่าจะบิดแป้งแล้วจิ้มกับซอสทั้งสามแบบ ตามภาพประกอบ 5555 รสชาติซอสสีเขียวออกนัวๆ สีแดงเผ็ดนิดหน่อย ซอสอันสุดท้ายรสจืด ๆ ยังมี “MoMo” ขนมนึ่งนุ่มๆ กับน้ำจิ้มรสเข้ม และ “Chicken Biryani ” แบบแห้งๆ ที่หอมเครื่องเทศ ออกเค็มนิดหน่อย 555 2. ชาอินเดียไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่มันคือชีวิตประจำวัน คนรักกาแฟมาที่บังกาลอร์จะคิดแบบเราแน่นอนว่า กาแฟหากินยากมากกกกกกกก แนะนำให้พกมาด้วยนะคะ 555 ทุกมุมถนนจะมีร้านขาย “Chai” และแน่นอนว่าเราต้องลองดื่มชาอินเดียอยู่แล้ววว ร้านที่เราไปดื่มบ่อย ๆ ชื่อร้าน “Chai Time “ คนขายจะเทชาใส่แก้วดินเผาเล็ก ๆ กลิ่นหอมเครื่องเทศ รสหวานมันแบบเฉพาะตัว และพอกลืนลงคอไปจะมีความเผ็ดเล็กน้อยที่คอ มันคือชาที่ชื่อว่า “Masala Chai” 3. การนั่งรถบัสในอินเดียคือการเอาชีวิตรอด เราลองนั่งรถบัสสายท้องถิ่น และแน่นอนว่าเราจะต้องกล้าที่จะพูดภาษาอังกฤษเพื่อบอกว่าเราจะลงสถานีไหน และแน่นอนว่ารถบัสเป็นบริการสาธารณะค่าบริการก็จะถูกกว่าการใช้ Uber ถ้าหากใครอยากลองนั่งแนะนำว่าให้เตรียมเงินรูปีแบงค์ย่อย ๆ ไปนะคะ เพราะค่าบริการหลักสิบแต่ถ้าเอาแบงค์ใหญ่จ่ายเขาจะไม่มีเงินทอนให้เราได้นะคะ ข้อดีของรถบัสนอกจากราคาจะถูก ยังมีระบบเสียงที่ดีมาก เราแค่ต้องตั้งใจฟังว่าจะถึงสถานีเราแล้วหรือยัง การเอาชีวิตรอดในที่นี้คือการทดสอบระบบหูในการฟังภาษาอังกฤษค่ะ แต่ที่น่าสะพรึงกว่าคือตอนจะลงรถเพราะถึงสถานีของเรา คนอินเดียกรูกันลงรถส่วนที่อยากขึ้นรถก็กรูกันเข้ามา บอกได้คำเดียวว่าโคตรจะโกลาหล แต่เราก็รอดมาได้นะคะ 555 4. “ออตโต้” คือรถตุ๊กตุ๊กเวอร์ชั่นอินเดียที่พาไปเจอเรื่องไม่คาดคิด ถ้าอยากใช้ออตโต้ แนะนำว่าให้เตรียมเงินให้พอดี เกินได้แต่ไม่ขาดจะดีสุด เพราะคนขับออตโต้ส่วนใหญ่ที่เราเจอมักจะไม่มีเงินทอน ความหฤหรรษเกิดขึ้นได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเจอคนขับพูดอังกฤษไม่ได้แต่เปิด Google Translate คุย และสไตล์การขับที่โคตรจะหวือหวา ให้ความรู้สึกเหมือนจะชนท้ายรถคันข้างหน้าอยู่ทุกชั่วขณะจิต แถมยังบีบแตรกันเป็นว่าเล่น ทีแรกก็คิดว่าบีบเป็นประเพณี แต่สังเกตดูดี ๆ พบว่าเขาบีบแตรเพื่อเตือนรถคันอื่น ๆ รวมถึงคนข้ามถนน สนุกไปอีกแบบนะคะ 5. ความเชื่อเก่าแก่ที่ผสมผสานเข้ากับความทันสมัยได้อย่างลงตัว เมืองบังกาลอร์ เป็นเมืองที่คาดหวังว่าจะเป็น Silicon Valley ของอินเดีย การวางผังเมืองก็จะมีความแบ่งโซนชัดเจน ถนนหนทางจะมีการแบ่งพื้นที่สำหรับทางเท้า และมีรั่วกั้นไม่ให้มีรถมอเตอร์ไซค์ขับขึ้นมา ผู้คนอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้น ร้านอาหารก็มีหลากหลายตอบสนองต่อผู้คนจากหลายเชื้อชาติ ทั้งไทย จีนอาหรับ และอื่น ๆ สิ่งที่เราเจอคือ ผู้หญิงกับอุปกรณ์สำหรับการวาดภาพ เป็นแป้งสีหรืออะไรเทือกนั้น เขาจะนิยมวาดลวดลายที่มีความเฉพาะบนพื้นหน้าร้านอาหาร หรือ บ้าน เราไปทำการอ่านข้อมูลมามันเรียกว่า การวาดรังโกลี วัตถุประสงค์คือการอำนวยอวยพรให้ร้านค้า หรือบ้านหลังนั้นพบเจอแต่ความโชคดี เราเลยคิดว่ามันค่อนข้างจะลงตัวที่ไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านมานานจนบ้านเมืองพัฒนาแต่ที่นี่ยังคงมีกลิ่นอายจากอดีตที่กลมกลืนกับปัจจุบันได้อย่างลงตัว 6. การเดินทางคนเดียว ทำให้เรา “ฟังตัวเอง” มากขึ้น บางวันเราก็แค่เดินไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีแผน เจอร้านหนังสือเล็กๆ แล้วจู่ ๆก็ “ได้ยินเสียงความคิดตัวเอง” “เราอ่านหนังสือครั้งสุดท้ายเมื่อไรกันนะ” อย่างไม่รู้ตัวก็เดินเข้าไป ก้ม ๆ เงย ๆ หาหนังสือที่น่าสนใจ อันที่จริงก็น่าสนใจหลายเล่มเลย แต่มันติดตรงที่เป็นหนังสือภาษาอังกฤษทั้งหมดเลย 555 แต่เอาจริงราคาดีกว่ามาซื้อที่ประเทศไทยมาก ถูกกว่ามากกกกก ด้วยเหตุนี้ก็เลยหยิบหนังสือของนักเขียนคนโปรดมาครองจนได้ ตั้งใจเอาไว้ว่าจะฝึกอ่านภาษาอังกฤษให้เก่งขึ้นอีกนิดก็ยังดี 7. อย่าเชื่อภาพจำทั้งหมด จนกว่าจะได้เห็นด้วยตา สิ่งที่เราเคยได้รู้เกี่ยวกับอินเดียมันมาจากชุดประสบการณ์ที่คนอื่น ๆ ถ่ายทอดมาให้เราดูอีกที มีทั้งที่ดีและแย่ ไม่ใช่แค่ว่าเป็นอินเดียเราเลยต้องระวังตัว แต่ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนเราก็ต้องระวังตัวอยู่แล้ว เราไม่มีทางรู้ว่าสิ่งที่เราเสพมานั้นมันจริงทั้งหมด หรือ จริงแค่บางส่วน แต่ถ้าเรากักขังตัวเองด้วยประสบการณ์ที่ไม่ดีจากคนอื่น จนไม่ออกเดินทาง สำหรับฉันแล้วสิ่งนั้นน่าเศร้ากว่า ขอขอบคุณเครดิตรูปภาพ หน้าปก / จาก ผู้เขียน รูปภาพประกอบที่ 1 /แต่งภาพโดยใช้โปรแกรม CANVA โดยผู้เขียน รูปภาพประกอบที่ 2 / แต่งภาพโดยใช้โปรแกรม CANVA โดยผู้เขียน รูปภาพประกอบที่ 3 /แต่งภาพโดยใช้โปรแกรม CANVA โดยผู้เขียน รูปภาพประกอบที่ 4 /แต่งภาพโดยใช้โปรแกรม CANVA โดยผู้เขียน รูปภาพประกอบที่ 5 /แต่งภาพโดยใช้โปรแกรม CANVA โดยผู้เขียน รูปภาพประกอบที่ 6 /แต่งภาพโดยใช้โปรแกรม CANVA โดยผู้เขียน อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !