ใครก็ตามที่เคยไปใช้ชีวิตอยู่ในเกาหลี ไม่ว่าจะไปเรียน ทำงานหรือท่องเที่ยว ก็ไม่น่าจะพลาดการเดินทางโดยใช้รถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งนอกจากจะแสนสะดวกสบายแล้ว ราคาค่าโดยสารยังย่อมเยาอีกด้วย ในการเดินทางไปเที่ยวเกาหลีครั้งนี้ ดิฉันได้ศึกษาและอ่านรีวิวรวมถึงทำการบ้านและวางแผนการเดินทางมาเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นการเดินทางตัวคนเดียวในต่างแดนเป็นครั้งแรก และแน่นอนว่าแผนการเดินทางเกือบทั้งหมดจะใช้รถไฟฟ้าใต้ดินเป็นหลัก เมื่อถึงพื้นแผ่นดินแดนกิมจิ ก้าวแรกไม่เป็นไร ก้าวต่อไปไฟลุก (ขำๆ ไม่อยากให้ซีเรียสกันนะคะ เพราะสิ่งที่ต้องเครียดจะเป็นหลังจากนี้ต่างหาก) ในการเดินทางวันแรกนี้ ดิฉันเลือกใส่เสื้อสีชมพูเอาฤกษ์เอาชัย (แขนห้าส่วน) กางเกงเอวสูงขายาวสีดำผ้าฮานาโกะ รองเท้าคัชชูส้นเตี้ย สาเหตุที่ต้องอธิบายการแต่งตัวค่อนข้างละเอียด เนื่องจากจะชี้ให้เห็นว่าไม่ได้แต่งตัวล่อแหลมแต่อย่างใด คนเราดวงจะโดนคือเลี่ยงไม่ได้จริงๆ เอาล่ะ!! ถึงเวลาที่จะได้ผจญภัยในโลกกว้างแล้ว คิดได้ดังนั้นก็นั่งรถไฟใต้ดินไปสถานที่ต่างๆที่ได้วางแผนไว้ ทุกอย่างราบลื่นดี จนกระทั่งที่สุดท้ายที่จะไปคือ LED rose garden เวลาในขณะนั้นประมาณหนึ่งทุ่มครึ่ง ดิฉันยืนรอรถไฟฟ้าขบวนถัดไป มองไปรอบๆมีคนไม่เยอะ อาจจะเนื่องมาจากว่าสถานีนั้นอยู่นอกตัวเมืองมาหน่อยและรถขบวนที่แล้วก็พึ่งจะออกไป ยืนได้สักพักก็มีคนมาต่อแถวข้างหลัง ในใจคิดว่าดีนะที่มาถึงก่อนจึงได้ยืนหน้าสุดไม่เช่นนั้นประเดี๋ยวแถวคงยาวมากแน่ๆ สิ้นสุดความคิดไปประมาณ 5 วินาที คนข้างหลังก็เริ่มเบียดเข้ามาโดนแผ่นหลัง นั่นไงคนมาเยอะแล้วละสิ คิดได้ดังนั้นดิฉันก็ตั้งใจเพ่งมองไปในเงาของกระจกแผงกั้นว่าแถวยาวถึงไหนแล้ว ทันใดนั้นดิฉันใจหายวูบเพราะสายตาโฟกัสเห็นเพียงผู้ชายคนเดียวที่ยืนต่อหลังดิฉันอยู่ ดิฉันแสร้งทำเป็นมองไปยังบริเวณอื่นๆของชานชาลา ก็เห็นหน้าของผู้ชายคนนั้นแว๊บๆ แต่สายตาเค้าจ้องตรงมาที่หน้าของดิฉัน และพึมพำพูดภาษาเกาหลี เราเองก็เข้าใจว่าเค้าคงพูดโทรศัพท์กับเพื่อนโดยใช้หูฟังแบบไร้สาย ตอนนั้นก็เริ่มระวังตัว แต่คิดว่าพอเข้าไปในรถไฟฟ้าแล้วมีคนเยอะแยะจะไปกลัวอะไร เมื่อรถขบวนถัดไปมาถึง ดิฉันรีบก้าวขึ้นไปและคิดว่าคงได้ยืนอีกตามเคย แต่ผิดคาดผู้โดยสารน้อยกว่าที่คิดไว้ ที่นั่งจึงเหลือเยอะมาก ดิฉันเลือกนั่งที่ริมสุดติดกับประตูเลยเพื่อจะที่ลงได้ง่ายเมื่อถึงที่หมาย นั่งเสร็จปุ๊บสบายใจได้ 2 วิ เพราะผู้ชายคนนั้นดันมานั่งเบียดข้างๆทั้งๆที่มีที่นั่งว่างเป็นสิบๆที่ ตอนนั้นใจเริ่มเต้นรัว เหงื่อที่ฝ่ามือเริ่มออก รอยยิ้มจากความสุขที่ได้เที่ยวเลือนหายไป ความกังวลเข้ามาแทนที่ สมองเริ่มคิดรัวๆว่าจะทำอย่างไรดี แต่สีหน้าท่าทางตอนนั้นก็ไม่ได้กระวนกระวายอะไร ยังใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว ก้มหน้ามองพื้นแต่สายตาเก็บรายละเอียด เห็นเค้าใส่รองเท้าผ้าใบเก่าๆ กางเกงขาก๊วยสีกรมขาห้าส่วน ผิวขาวซีด ใจยังไม่กล้าพอที่จะหันไปมองหน้า คิดว่าทนอีกนิดเดียว นี่ก็ผ่านมา 1 สถานี อีกไม่กี่สถานีก็จะถึงที่หมายแล้ว ทันใดนั้นเค้าก็เอียงใบหน้าและลำตัวท่อนบนมาทางดิฉันจนได้กลิ่นแอลกอฮอล์จากลมหายใจ ดิฉันส่งสายตาไปยังผู้โดยสารที่นั่งตรงข้ามทั้งสี่คน (ผู้ชาย1 ผู้หญิง 3) พวกเค้าก็คงสังเกตเห็นความผิดปกติแต่ก็ไม่มีใครให้ความช่วยเหลืออะไร เอาวะ!! คงต้องช่วยเหลือตัวเองแล้ว ดิฉันเริ่มมองไปรอบๆรถไฟฟ้าเพื่อหาทางรอด เหลือบไปเห็นมือถือของผู้ชายคนนั้น หน้าจอแตกร้าวหลายจุด และไม่รู้เค้าเปิดเว็ปอะไร เห็นตัวอักษรเกาหลีเป็นพืดทั้งหน้าจอ ปากผู้ชายคนนั้นก็ขยับพูดพึมพำไม่หยุด ประโยคลากเสียงยาวๆ เบาๆ แหบๆ ฟังแล้วสำเนียงแบบโรคจิตมาก พูดเสร็จแล้วก็ยิ้มคนเดียว ตอนนี้ดิฉันรู้แล้วว่าเค้าคุยคนเดียว ไม่มีหูฟังไร้สายอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก ระหว่างพูดพึมพำสายตาเค้าก็จ้องมาที่หน้าและปากของดิฉัน ยิ่งดิฉันเอียงตัวหลบ (เอียงจนศีรษะจะโผล่พ้นเสาเหล็กข้างที่นั่งอยู่แล้ว) เค้าก็ยิ่งเอียงตามมา ตอนนั้นอยากจะร้องไห้แล้ว คิดสิๆจะทำยังไงดี คิดว่าจะลงสถานีต่อไปเลยดีไหม ก็กลัวคนจะน้อยแล้วจะอันตรายกว่าเดิม อยู่ในนี้อย่างน้อยก็มีคนอยู่แน่ๆ ลงไปไม่รู้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง อยู่ๆผู้ชายคนนั้นก็เอากระเป๋าตัวเองตั้งลงบนตักของตนแล้วก็ขยับมือขยุกขยิกใต้กระเป๋า สมองไวเท่าความคิด ดิฉันหันไปตู้โดยสารถัดไปซึ่งมีคนเยอะกว่าและนั่น!! มีทหารยืนอยู่ตรงนั้น 1 นาย คิดว่าแสดงออกให้รู้ไปเลยว่า ชั้นรู้แล้วนะว่าแกอ่ะโรคจิต ชั้นจะไม่ทนนั่งตรงนี้อีกต่อไป ตู้นั้นมีทหารอยู่ แกไม่กล้าตามมาหรอก คิดเสร็จก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปเลย (ได้เห็นหน้าผู้ชายคนนั้นแว็ปนึง อายุประมาณ 35-40 ปีหน้าผอมๆ ยาวๆ ผิวขาวซีด ผมดำ ทรงคล้ายๆรองทรงแต่รกๆหน่อย ดวงตาตี่ๆ รีๆ เล็กๆ ) ขอบคุณรูปภาพจาก pixabay เมื่อเดินมาตู้ถัดไปก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเพราะกลัวว่าจะยังเห็นหน้าไอ้โรคจิตอีก ก็เลยเดินถัดไปอีกหนึ่งตู้ และตอนนี้ไม่รู้สึกอยากนั่งแล้ว จึงยืนอยู่ถัดจากประตูระหว่างตู้ไปหน่อย แต่ก็ยืนแอบๆอยู่ในมุม ตอนนั้นหายใจโล่งมาก ภูมิใจในตัวเองนิดๆที่ยังมีสติในยามคับขันแบบนี้ สบายใจได้ไม่ถึง 1 นาที สายตาที่ก้มมองพื้นรถไฟ (ส่วนตัวจะไม่เล่นสมาร์ทโฟนในขณะเดินทางเพราะกลัวอันตราย สายตาจึงมองไปรอบๆหรือไม่ก็มองพื้นไปเรื่อย) ก็เห็นขาข้างนึงที่สวมรองเท้าผ้าใบเก่าๆ และกางเกงขาก๊วยสีกรมขาห้าส่วนกำลังก้าวข้ามผ่านประตูมายังตู้ที่ดิฉันยืนอยู่ ตอนนั้นตัวสั่นเลย นี่แกจะไม่ปล่อยชั้นจริงๆใช่ไหม? แกต้องการอะไรกันแน่? คิดอยู่ภายในใจเป็นหมื่นล้านคำ แต่ถึงได้คำตอบ ก็คงเป็นคำตอบที่เราไม่อยากฟังแน่ๆ ขอบคุณรูปภาพจาก pixabay ตอนนั้นตั้งสติอีกครั้ง รอให้มันข้ามมาตู้นี้ให้พ้นทั้งตัว มันก้าวผ่านจุดที่ดิฉันยืนไปประมาณ 2 ก้าว แล้วคงเห็นก้อนอะไรสีชมพูๆ ที่ข้างประตู (ดิฉันเอง) มันก็หันกลับมาและโฟกัสสายตามาที่ดิฉัน (นี่ถ้าเป็นซงจุงกิเดินตามหาดิฉันแบบนี้บ้างคงจะดีไม่น้อย) ตอนนี้คิดว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ แน่ชัดขนาดนี้ มันตามหาชั้นอยู่แน่นอน พอมันหันกลับมา ดิฉันก็เดินย้อนกลับไปตู้สองความเร็วเพซ 3 พุ่งตรงไปที่ทหารนายนั้นทันที พร้อมพูดภาษาอังกฤษรัวๆ (พูดถูกบ้างผิดบ้างเพราะ ณ ตอนนั้นนึกคำศัพท์อะไรไม่ออกแล้ว) ตอนแรกทหารก็มองหน้าดิฉันแบบงงๆ ไม่รู้อึ้งกับสำเนียงหรือกำลังเรียบเรียงคำคิด แต่ไอ้โรคจิตก็เดินย้อนกลับมาตู้สอง ดิฉันรีบชี้ให้ทหารดู พอทหารหันไป มันก็หยุดชะงักและไม่วายมองมาที่ดิฉันอีกครั้งแล้วจึงเดินกลับไปด้วยอารมณ์ไหนก็ไม่ทราบได้ แต่ดิฉันนั้นอยู่ในอารมณ์กลัวสุดขีด ขอบคุณรูปภาพจาก pixabay หลังจากนั้นทหารก็กดโทรศัพท์ ดิฉันดีใจมากคิดว่าเค้าคงโทรแจ้งตำรวจให้ เปล่าเลย..เค้าบอกให้ดิฉันกดโทรตามเบอร์ที่เค้าพิมพ์ในมือถือของเขา เอ่ออออ..คือว่า...ดิฉันเป็นชาวต่างชาติ ไม่ถงไม่ถามดิฉันสักคำรึ ว่าโทรศัพท์ดิฉันโทรออกเบอร์ดังกล่าวได้หรือไม่ เอาวะ!!(ครั้งที่สอง) คงต้องช่วยเหลือตัวเองอีกครั้ง ดิฉันบอกทหารไปว่าดิฉันจะลงสถานีต่อไป (ตัดสินใจลงก่อนถึงจุดหมาย ตอนนี้ขอหนีจากไอ้โรคจิตก่อน) มีตำรวจที่ชานชาลานั้นๆไหม เค้าตอบเมย์บี (อาจจะมี) ก็คงต้องลุ้นกันต่อไป ก่อนที่จะลงทหารก็อุสาห์ใจดีบอกว่า ถ้าโทรหาตำรวจให้แจ้งว่าอยู่ที่ ××× ชานชาลา ××× นะ ดิฉันก็โอเค ขอบคุณมากนะ คงจะได้โทรอยู่หรอกนะพ่อคู๊ณ (อันนี้คิดในใจ) ก่อนจะลงก็มองออกไปที่ชานชาลา รอจนแน่ใจว่าไอ้โรคจิตไม่ได้ลงไปจะเอ๋กัน และรอจนกระทั่งมั่นใจว่าไม่มีใครลงแล้ว พอประตูใกล้จะปิดก็วิ่งออกไปเลย จากนั้นก็ยืนรอรถขบวนถัดไปแบบหวิวๆหัวใจ มองซ้ายมองขวาตลอด ขวัญผวามากๆ ตอนนี้แม้ใจนึงจะอยากกลับแต่อีกใจก็อยากไปต่อ จุดหมายห่างไปอีกแค่ 2 สถานี เมื่อคิดได้ว่าเป้าหมายมีไว้พุ่งชน ดิฉันจึงขึ้นรถขบวนถัดไปและลงที่ Dongdaemun History & Culture Park เพื่อถ่ายรูปกับ LED rose garden ให้ชื่นใจ เมื่อไปถึงปรากฏว่ามันปิดไปหลายเดือนแล้วจ้า แม้ว่าย่านนั้นจะเป็นแหล่งท่องเที่ยว แต่ก็ตัดสินใจกลับที่พักเพื่อพักกายพักใจก่อน ซึ่งระหว่างการเดินทางก็เพิ่มความระมัดระวังและมั่นใจว่าไม่มีใครสะกดรอยตามมาแน่ๆ ก่อนนอนในคืนนั้นก็ได้ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ช่วยคุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัย อย่าเจออะไรแบบนั้นอีกเลย แล้วก็นอนหลับไปด้วยใจที่ยังหวาดผวา วันที่สองและสามของการเดินทางก็ยังคงต้องใช้รถไฟฟ้าเหมือนเดิม แต่จากความหวาดระแวงที่มีทำให้ความสนุกในการเดินทางลดลงไปบ้าง หลายๆครั้งที่มองไปรอบๆผู้ชายเกาหลีก็หน้าตาคล้ายกันไปหมด ถ้าเจอโรคจิตคนเดิมอีกครั้งแต่เปลี่ยนการแต่งตัวไปก็อาจจะจำไม่ได้แล้ว เมื่อใดก็ตามที่เจอคนหน้าตาคล้ายๆโรคจิตคนนั้น ดิฉันเลือกที่จะเดินหนีไปจากตรงนั้นทันที แต่โชคดีที่ไม่เจออะไรแบบนั้นอีกเลย และท้ายสุดนี้ดิฉันก็อยากเป็นกำลังใจให้นักเดินทางสายสตรองทุกท่าน ที่นอกจากจะต้องพกพาสตางค์ไปให้พอแล้ว ก็ยังต้องพกพาสติติดตัวอยู่ตลอดเวลาด้วยเด้ออ