เราเปิดบันทึกความทรงจำเมื่อหลายปีที่แล้ว เป็นโพสต์ ๆ หนึ่งในเฟซบุ็ค เป็นคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับ "ดอยม่อนจอง" กับแคปชั่น 2018 ก็ยังไม่ได้ไป 😖 จนเมื่อปลายฝนปีที่แล้ว เราก็ต้านทานแรงดึงดูดของทุ่งหญ้าสีทองที่ใคร ๆ ต่างก็บอกว่าสวยหนักหนาไม่ไหว สองเท้ามันบอกว่าพร้อมให้เราออกเดินทางกันได้แล้ว การวางแผนเดินทางในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยความที่เราไปกันสองคน และรถที่จะพาเราไปเข้าไปที่ดอยก็มีน้อยแถมต้องเหมาไปอีก รวมถึงเรื่องของเวลาที่มีจำกัด ทำให้เราต้องวางแผนให้ดี ไม่งั้นเราจะได้นอนค้างกันที่อมก๋อยกันแน่ ๆ คืนแรกเราหาโฮสเทลแถวเมืองเชียงใหม่ เลือกพักใกล้กับศูนย์ราชการที่สุด เพื่อที่จะสะดวกในการเดินไปขึ้นรถ เราตื่นกันตอน 4.00 น. โชคดีที่พักใกล้มาก เราเดินผ่านเมืองเชียงใหม่ในบรรยากาศที่โคตรเงียบ สงบ เดินกันไปจนเราสังเกตุเห็นรถตู้จอดอยู่ข้างทางหน้าศูนย์ราชการพร้อม ๆ กับชาวบ้านหลายคน กำลังขนข้าวขนของกันอยู่บริเวณรถตู้คันหนึ่ง เราก็รีบเข้าไปถามคนขับเลยว่า ใช่รถตู้ไปม่อนจองหรือเปล่า ปรากฏว่าใช่ แถมมีที่ว่างให้กับเราสองคนพอดิบพอดี และรถตู้คันนี้แหละคือจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของเรา (จริง ๆ แล้วเราก็โทรถามรถเขาไว้แล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่าใช่ที่นี่หรือเปล่า วัดดวงล้วน ๆ ) เราใช้เวลาอยู่บนรถตู้กันตั้งแต่ตีห้ากว่า ๆ ผ่านระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร จนเกือบ 11 โมง เรา ก็มาถึงที่หมายปลายทาง ...อมก๋อย โชคดีที่วันนั้นมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจองรถไว้โฟลวิลล์สองคัน เราก็เลยขอแชร์รถไปด้วย ระหว่างรอ เราก็เช่าเต้นและจัดเตรียมของใส่หลังลูกหาบ เสียค่าใช้จ่ายกันไปคนละ 150 บาทเป็นค่าเช่าเต๊นท์ ได้เวลา ... เรากระโดดขึ้นหลังโฟลวีลสุดจ๊าบ รถค่อย ๆ ไต่ระดับความสูงของเนินเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ ด้วยความที่ป่าค่อนข้างดิบชื้นทำให้และเป็นฤดูท่องเที่ยว ทำให้ถนนค่อนข้างเป็นโคลนและเป็นหลุมเป็นบ่อ บางครั้งรถก็ขึ้นเนินสูงเกือบ 45 องศา บางครั้งก็ผ่านเส้นทางแคบ ๆ มองลงไปคล้ายหุบเหว เห้อ! หัวใจจะวาย จะหยิบกล้องมาถ่ายยังทำไม่ได้เลย สั่นแค่ไหนคิดดู หลังจากที่เราตัวเกร็งกันอยู่บนรถมาเกือบ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงตีนเขา เพราะเราต้องเดินเท้าเข้าไปอีกหลาย 1 กิโล การเดินจริง ๆ ของเราเพิ่งเริ่มต้นขึ้น ! ช่วงแรก ๆ เราเดินผ่านป่าโปร่ง ๆ เป็นภูเขาเล็ก ๆ ผ่านไปได้สักพักเหมือนเมฆจะถูกลักพาตัวไป ใบไม้ใบหญ้ากลับกลายเป็นสีเขียวแก่ ผสมละอองน้ำเล็ก ๆ บางเส้นทางเป็นดินโคลนลื่น ๆ บางช่วงช่องทางเดินเหลือไม่เกิน 50 เซนติเมตร มองลงไปเป็นทางลาดยาวลงไปสู่ก้นเขา คนที่กลัวความสูงหรือนักเดินทางมือใหม่ ต้องใช้ความกล้าและความอดทนพอสมควร หลังจากทั้งเหนื่อย และเสียวมาระยะหนึ่ง เราก็เดินกันมาจนถึงปลายเขาอีกหนึ่งลูก มองขึ้นไปเป็นเนินเขาสูงชันเกือบ 45 องศา เป็นภูเขาโล้น ๆ มีเพียงหญ้าและร่องรอยการเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนดูคล้ายเป็นบันได ที่นี่เแหละที่เค้าเรียกกันว่าดอยหมาแหงน (มันแหงนจริง ๆ แหละ แต่ทำไมต้องเป็นหมาด้วย) ตรงนี้ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ต้องหาไม้ค้ำมาเป็นตัวช่วย ใครไม่มี ก็ใช้สองมือกับสองขาให้สุดความสามารถ ในขณะที่เรากำลังเดินขึ้นไปอย่างยากลำบากลูกหาบที่บางคนก็เดินตีนเปล่า ก็แซงหน้าเราไปอย่างกับเดินเล่นอยู่ในบ้าน เจ๋งดี และแล้วทางที่เราเดินทางมา ก็คลับคล้ายคลับคลากับที่เราเคยเห็น เป็นภูเขาโล้น ๆ หัวมน ๆ สีไม่ทองอย่างที่เค้าบอกกันไว้ อาจจะเป็นเพราะเราไปกันช่วงต้นธันวาสีเขียว ๆ คงยังอยากนอน ไม่พร้อมจะเปลี่ยนเป็นสีทอง แต่วิวข้าง ๆ เนี่ยสวยเหมือนอยู่บนสวรรค์เลย จุดกางเต๊นท์ของเราอยู่ในหุบเขากลางป่า ต้องเดินทางลงไประยะทางประมาณ 20 เมตร แต่ทางลงชันมาก และชื้นมาก ไม่ระวังก็อาจะลื่นล้มได้ทางที่ดีคือต้องพกไฟฉายไว้ด้วย นี่เป็นครั้งแรกของการนอนเต๊นท์กลางป่าของเรา แน่นอนว่ามันต้องไม่พร้อมแน่ ๆ อุปกรณ์การนอนของเราคืนนั้นของเรามีแค่เต๊นท์และถุงนอนเท่านั้น ส่วนเรื่องเสบียงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ดีนะเรามีน้ำพริกลีซูจากเชียงดาว และข้าวเหนียวหมูปิ้งที่ซื้อมาตอนรถจอดอยู่ที่อมก๋อย นอกนั้นก็ขนมปังที่แบ่งไว้กินพรุ่งนี้ มื้อนั้นเป็นมื้อที่โคตรธรรมดา แต่เรารู้สึกว่าโคตรอร่อย อร่อยที่สุดแล้วในเวลานี้ หลังจากกินเสร็จ เราก็ค่อย ๆ หลับตา แล้วความตั้งใจที่จะขึ้นไปดูดาวก็หายวับไป เพราะคืนนั้นทั้งหนาวทั้งมืด ทางเดินขึ้นไปก็มืดและอันตรายมาก เราจึงเลือกนอนท่ามกลางความหนาวเย็นกันในที่สุด (หนาวมาก ต้องเตรียมเสื้อผ้าหนา ๆ ไปกันเยอะ ๆ นะ ) เราตื่นมาเกือบ 7 โมง ขึ้นไปยังบนยอดดอย โอ้โห หนาวมาก แสงแรกจากพระทิตย์ไปอยู่ไหน แทบมองไม่เห็น ไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว ขึ้นหรือยัง หรือไปอยู่ที่ไหน เราตั้งใจเดินไปให้ถึงแหลมสิงห์ ระหว่างทางข้างหน้าที่เดิน มีแต่หมอกขาวเข้ามาทักทาย พร้อมกับลมหนาวที่พัดอย่างแรงจนปากแทบสั่น เราเดินทางกลับมาถึงศุนย์บริการเกือบ ๆ บ่ายสามโมง หารถที่จะพาเราเข้าเเชียงใหม่ แต่ไม่มีแล้ว (เอาจริง ๆ คือไม่ได้วางแผนว่าจะกลับกันยังไงมากกว่า) โชคดีที่มีคนจะกลับเข้าอมก๋อย เราจึงขอติดรถมาด้วย มาถึงอมก๋อยเกือบ 4 โมง เพื่อมาค้นพบว่ารถเข้าเชียงใหม่หมดแล้ว เราเคว้งคว้างกันสักพัก ทางเดียวในหลุดออกจากตรงนี้คือโบกรถ เพราะคืนนั้นเราจองที่พักไว้ในกรุงเทพกันแล้ว เราโบกรถกันอยู่สักพักก็มีคนใจดีให้เรานั่งกระบะ เพื่อพาเราไปฝากกับคุณตำรวจที่สวนสน พอมาถึงคุณตำรวจก็โบกรถให้เรา จนเจอครอครัวใจดีกำลังเข้าสู่ตัวเมืองเชียงใหม่พอดิบพอดี เรานั่งท้ายกระบะกันมาจนมาถึงตัวเมืองเชียงใหม่ พร้อมกับลืมหมวกอีกหนึ่งใบไว้หลังรถครอบครัวใจดีคันนั้น ..........ขอบคุณ แล้วพบกันใหม่ ม่อนจอง :))