“ชิงช้าสวรรค์” คือเวทีประกวดวงดนตรีลูกทุ่งที่มีความพิเศษไม่เหมือนใคร เป็นการแสดงที่ไม่ใช่แค่การแข่งขัน แต่ยังเต็มไปด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวจากบทเพลงเพื่อช่วยให้ผู้ชมได้สัมผัสกับบรรยากาศของเพลงอย่างลึกซึ้ง บางครั้งเราจะได้เห็นการแสดงที่พาไปยังสถานที่สำคัญของไทย หรือวัดสำคัญที่มีเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่ชวนให้ผู้ชมหลงใหลจนอยากจะออกไปสัมผัสสถานที่จริงตามรอยบรรยากาศในโชว์ ซึ่งเป็นที่มาของ “ทริปเที่ยวตามรอยรายการชิงช้าสวรรค์ ” ขอนำเสนอวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้ว จากโชว์ของโรงเรียนโยธินบูรณะ กรุงเทพมหานคร ในบทเพลงหัวใจทศกัณฑ์ ถ่ายทอดผ่านวรรณกรรมเรื่องรามเกียรติ์ ตอนสีดาลุยไฟ โดยสามารถนั่ง MRT สายสีน้ำเงินต่อมาลงสถานี สนามไชยใช้ประตูทางออกที่ 1 แล้วเดินตรงประมาณ 10 นาที หรือ ลง MRT หัวลำโพง แล้วต่อรถเมล์สาย 1, 25, 44, 47 จากนั้นเดินลงทางอุโมงค์เพื่อไปยังวัดพระแก้ว เมื่อเดินเข้าไปในวัดก็จะพบกับประตูทางเข้า5ทาง โดยของคนไทยจะเป็นช่องที่5 ด้านซ้ายมือ สามารถยื่นแสดงบัตรประจำตัวประชนให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ก็จะสามาถเข้าชมวัดพระแก้วได้ทันที โดยจุดแรกเมื่อเดินเข้าไปก็คือระเบียงคด จุดเด่นของระเบียงคดคือภาพจิตรกรรมฝาผนัง ที่เล่าเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ ภาพทุกภาพมี ลวดลายสุดปราณีต งานศิลปะระดับตำนานของไทยเลยทีเดียว นอกจากความสวยงามแล้ว ยังมีความหมายลึกซึ้งแฝงไว้เกี่ยวกับหลักธรรมและคุณธรรม ใครที่ชอบถ่ายรูป บรรยากาศตรงนี้ก็สวยแบบคลาสสิกสุด ๆ ถ่ายมุมไหนก็ดูดี ได้ฟีลไทยโบราณแบบพรีเมียม ซึมซับเสน่ห์ของงานศิลป์และวัฒนธรรมไทย โดยในโชว์ที่ทางโรงเรียนโยธินบูรณะนำมาถ่ายทอดปรากฏอยูที่ระเบียงคดห้องที่111 สีดาลุยเพลิงถวายสัตย์ต่อพระราม พิเภกจัดขบวนแห่อัญเชิญนางสีดา ไปเฝ้าพระราม นางสีดาได้ลุยไฟ เพื่อพิสูจน์ความสัตย์ความบริสุทธิ์ ที่มีต่อพระราม ด้วยความบริสุทธิ์ ไร้ราคีแผ้วพานไฟมิได้ทำอันตราย นางและบังเกิดมีดอกบัวผุดขึ้นรับ ทุกย่างก้าวของนางสีดา นอกจากนี้ก็จะมีห้องอื่นอีกมากมายให้ได้ชม นอกจากระเบียงคดแล้ว มาเที่ยว วัดพระแก้ว แต่ยังมีกิจกรรมอีกมากมายทั้งเสริมดวง ได้ฟีลไทยแท้ และได้รูปสวย ๆ ไว้อัพลงโซเชียล เช่น 1.พระอุโบสถ ภายในประดิษฐานพระแก้วมรกต ผนังด้านในประดับด้วยจิตรกรรมฝาผนังที่บอกเล่าเรื่องราวสำคัญ เช่น พุทธประวัติ วรรณคดีไทย รวมถึงฉากอลังการของ กระบวนเสด็จพยุหยาตราทั้งทางบกและทางน้ำ พร้อมด้วยภาพเหตุการณ์สำคัญอื่น ๆ ที่ถ่ายทอดประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทยอย่างงดงาม สำหรับผู้ที่สนใจจะต้องมาชมด้วยตาตัวเองเท่านั้นเนื่องจากทางวัดพระแก้วไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพภายในพระอุโบสถ 2.ปราสาทพระเทพบิดร ถ้าใครเคยเดินเข้าไปใน พระบรมมหาราชวัง แล้วเงยหน้ามองยอดปราสาทที่สูงสง่า สีทองอร่ามกลางแสงแดด ปราสาทพระเทพบิดร จะเป็นสิ่งที่สะดุดตาแน่นอน พอได้เห็นกับตาตัวเองครั้งแรก บอกเลยว่ารู้สึกเหมือนถูกดึงดูดเข้าสู่ประวัติศาสตร์ ความงดงามของสถาปัตยกรรมแบบไทย และบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ที่นี่ไม่ใช่แค่สถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นจุดที่สะท้อนถึงรากเหง้าและความภาคภูมิใจของคนไทยอย่างแท้จริง ปราสาทพระเทพบิดร เป็นสถาปัตยกรรมจัตุรมุขทรงไทย ตั้งอยู่ใน พระบรมมหาราชวัง สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 4 เดิมตั้งใจให้อัญเชิญ พระแก้วมรกต มาประดิษฐาน แต่ภายหลังปรับเปลี่ยนเป็นที่ประดิษฐาน พระบรมรูปหล่อสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช ตั้งแต่รัชกาลที่ 1-9 ปราสาทแห่งนี้เปิดให้เข้าชมเฉพาะ วันสำคัญของชาติ เช่น วันจักรี (6 เม.ย.), วันสงกรานต์ (13-15 เม.ย.), วันฉัตรมงคล (4 พ.ค.), วันพ่อ (5 ธ.ค.) เป็นต้น 3.ประติมากรรมฤๅษี ประติมากรรมฤๅษีหล่อสำริดสร้างขึ้นโดย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อระลึกถึงฤๅษีที่มีความรู้ด้านการแพทย์แผนโบราณ ด้านหน้าของฤๅษีจะมี แท่นหินบดยา วางไว้ ใช้บดสมุนไพรเพื่อเพิ่มสรรพคุณตามความเชื่อโบราณ มุมนี้ทำให้รู้สึกถึงภูมิปัญญาไทยที่ไม่เคยหายไป! 4.พระศรีรัตนเจดีย์ เมื่อมายืนตรงหน้าของ พระศรีรัตนเจดีย์ รู้สึกได้ถึงความสูงและสง่างามของเจดีย์ทรงระฆังคว่ำนี้ สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ และได้รับการประดับด้วยกระเบื้องทองจาก อิตาลี ในสมัยรัชกาลที่ 5 ความสวยงามของมันสะท้อนแสงแดดได้อย่างน่าทึ่ง ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ต้องมาชม 5.พระมณฑป เมื่อเดินมาที่ พระมณฑป ใน พระบรมมหาราชวัง จะเห็นความอลังการที่สร้างขึ้นแทนหอพระมณเฑียรธรรมเดิมที่เกิดไฟไหม้ เป็นที่ประดิษฐาน พระไตรปิฎกฉบับทองใหญ่ โดยประตูและบันไดสวยงามด้วยลายเทพนมและนาค ทรงเครื่องหน้ามนุษย์ที่มี 5 เศียร ทำให้รู้สึกถึงความละเอียดและศิลปะไทยที่มีเสน่ห์ ภายในยังมี พระพุทธรูปจากโบโรบูดูร์ ที่รัฐบาลอินโดนีเซียถวายให้อีกด้วย 6.นครวัดจำลอง การได้เห็น นครวัดจำลอง เป็นประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกเหมือนได้เดินทางไปยังกัมพูชาจริง ๆ สถานที่นี้สร้างขึ้นตามแบบนครวัดต้นฉบับ โดยเริ่มสร้างใน รัชกาลที่ 4 แต่เสร็จสมบูรณ์ใน รัชกาลที่ 5 แม้จะเป็นเพียงการจำลอง แต่ความละเอียดและความยิ่งใหญ่ของมันทำให้เราเห็นถึงความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์ศิลปะและประวัติศาสตร์เอาไว้ 7.หอระฆัง ถ้ามาที่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม อย่าลืมแวะไปชม หอระฆัง ที่สร้างในรัชกาลที่1 และสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งในรัชกาลที่4 สถาปัตยกรรมทรงมณฑปที่ประดับด้วยกระเบื้องสีสันสวยงาม โดยจะใช้ในโอกาสสำคัญต่าง ๆ เช่น การเชิญ พระแก้วมรกต เข้าพระอุโบสถหรือพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ 8.หอพระคันธารราษฎร์ เมื่อได้มาเห็น หอพระคันธารราษฎร์ จะรู้สึกถึงความงามของสถาปัตยกรรมแบบรัตนโกสินทร์ และความละเอียดในการออกแบบ หลังคาทรงปรางค์และกระเบื้องถ้วยทำให้หอดูน่าประทับใจ ภายในประดิษฐาน พระคันธารราษฎร์ พระพุทธรูปปางขอฝนที่สร้างขึ้นในสมัย รัชกาลที่ 1 เป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ การเดินทางตามรอยสถานที่จาก “ชิงช้าสวรรค์” จะทำให้คุณได้สัมผัสกับเสน่ห์ของวัฒนธรรมไทยที่สะท้อนผ่านบทเพลงลูกทุ่ง และเปิดโอกาสให้ได้เรียนรู้เรื่องราวอันลึกซึ้งจากสถานที่สำคัญต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์และความหมายไม่รู้จบ คุณจะได้ค้นพบความงดงามของสถานที่ในมุมมองใหม่ พร้อมทั้งซึมซับความภาคภูมิใจในมรดกทางวัฒนธรรมไทยที่ยังคงอยู่ในหัวใจของทุกคน แล้วพบกันในทริปถัดไป เพื่อสร้างความทรงจำใหม่ ๆ ที่จะอยู่ในใจตลอดไป! เครดิตภาพ: ภาพโดยผู้เขียน อยากไปเที่ยวไหนหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !