คุยกันตั้งแต่ปีหนึ่ง ว่าปลายปี 2016 จะไปเชียงใหม่ด้วยกันนานจนลืม สุดท้ายก็ได้มา บอกตรงๆเลยว่าเป็นครั้งแรกที่นั่งรถไฟ ความรู้สึกคือทั้งตื่นเต้น และ ก็กลัวเพราะคนรอบข้างก็บอกให้ระวัง ความทรงจำที่ติดหัวมาตลอด รถไฟต้องมีไก่ เคยฟังกันไหม เพลงไก่ของพาราด๊อกอะ ไก่ไหมครับไก่ ซื้อไม่ครับจะกลับแล้วไก่ ไอ่เราก็อยากลองกินไก่ ปรากฎว่าไม่เจอไก่ซักตัว แต่ยังดีที่ยังมีของขายบนรถไฟบ้างถึงแม้จะไม่ใช่ไก่ก็เหอะ เราออกเดินทางจากหัวลำโพง 13.45 ถึงเชียงใหม่ ประมาณตี 5 เดินทางมาถึงหัวลำโพงด้วยความหิว สุดท้ายก็แพ้ให้กับข้าวหมกไก่ ภายในสถานีมีอาหารค่อนข้างหลากหลายและมีหลายอย่างให้เราเลือกกินไ แต่ด้วยความหิวก็เลยมาจบที่ข้าวหมกไก่ จะบอกว่ารสชาดโอเคเลยในราคา 40 บาท แต่ถ้าจะเอาความสะอาดหรือความอร่อยอาจจะไม่ได้ดีมากขนาดนั้น แต่ก็ไม่ถือว่าแย่จนกินไม่ได้ รถไฟออกจากสถานี มาจอดที่สถานีภาชี นครสวรรค์ และ ที่พลาดไม่ได้เลยก็ไอศครีมนั่นเอง ไอศครีมถ้วยนี้เป็นไอศครีมกะทิในราคาเพียง 5 บาทเท่านั้น เมื่อรถไฟจอดจะมีคุณลุงคุณป้าหรือแม้กระทั้งเด็กถือถาดที่เต็มไปด้วยถ้วยไอศครีมพร้อมกับร้องเรียกเชิญชวนให้ลูกค้าได้ลิ้มลองรสชาด ซึ่งตอนที่เราซื้อมาก็แอบงงงว่าทำไมในถ้วยถึงไม่มีช้อนแต่กลับเป็นหลอดน้ำแทน แต่รสชาดก็ทำให้เราลืมความสงสัยในเรื่องนี้ไปได้ ช่วงเย็นรถไฟมาจอดที่เมืองลพบุรี เป็นเมืองที่บรรยากาศน่ารักแม้จะไม่ได้จอดแวะนานแต่ทำให้เราได้เห็นบรรยากาศของเมืองเมืองนี้ รถไฟเคลื่อนไปข้างหน้าทำให้ได้เห็นพระปรางค์สามยอด ถึงแล้วจ้า เชียงใหม่ และ ที่แรกที่เราจะไม่พลาดเลยก็คือ ดอยสุเทพ จริงๆก็เป็นสถานที่ที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต้องแวะมาเที่ยว เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องมาขอพร้อมเพื่อความเป็นสิริมงคล ด้านหน้าทางขึ้นดอยสุเทพจะมีของขายและเอกลักษณ์อย่างหนึ่งเลยก็คือรถแดงนั่นเอง จากนั้นเราก็มาต่อกันที่ "ดอยปุย" ดอยปุยเป็นสวนดอกไม้ให้เราเข้าชมโดยเสียค่าเข้าชม 10 บาท ซึ่งเราจะต้องเดินผ่านคล้ายๆหมู่บ้านหรือตลาดที่ชาวบ้านนำของกินและของฝากมาขายให้กับนักท่องเที่ยว ในสวนของแหล่งท่องเที่ยว อาจจะไม่เหมาะกับผู้สูงอายุเพราะเป็นทางชันอาจประสบปัญหาการเดินทางได้ วันถัดมาเรากันที่ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ แม่ริม เป็นเส้นทางการชมธรรมชาติ บรรยากาศค่อนข้างเย็น ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ไม่ไกลจากตัวเมืองมาก ไฮไลท์ของที่นี่คือ เส้นทางชมลอยฟ้าที่เป็นสะพานเหล็กและเป็นกระจกเพื่อให้เราได้ชมธรรมชาติจากมุมสูง นอกจากนี้ยังมีเรือนกระจกที่สายถ่ายรูปห้ามพลาด แต่ที่ดังที่สุดคือ เรือนพืชทนแล้ง ที่มีการจัดแสดงกระบองเพชรพันธุ์ต่างๆ วันสุดท้ายเราเดินทางมาที่ "ม่อนแจ่ม" กิจกรรมของเราก็คือ การขึ้นมาชมวิวและชมดอกไม้ ทางค่อนข้างชันและขับรถขึ้นมายากนิดนึงแนะนำให้จอดข้างล่างแล้วเดินขึ้นมาด้านบน ด้านบนมีบริการร้านกาแฟและร้านอาหาร มีของฝากขาย และ จุดไฮไลท์คือการนั่งรถไม้ลงเขา กะหล่ำปีต้นใหญ่และไร้สตอเบอรี่ ในช่วงกลางคืน เรามาเดินเล่นในเมืองและไปหยุดอยู่ที่ร้าน "เล่า" เป็นเล่นขายหนังสือเล็กๆ ที่ถนนนิมมาน เป็นร้านที่สร้างความประทับใจให้กับเราก็ว่าได้ เพราะในยุคที่ใครๆก็สามารถหาหนังสืออ่านได้ทางอินเตอร์เน็ต แต่ก็ยังคงมีร้านหนังสือแฝงตัวอยู่ในเมืองเชียงใหม่ เราจึงชอบร้านนี้เป็นพิเศษ ถ้าใครมีโอกาสมาเชียงใหม่ก็อย่าลืมแวะไปร้านนี้ด้วยนะ เราเดินทางกลับด้วยรถไฟเช่นเคย แต่รอบนี้เป็นการเดินทางในช่วงกลางคืน ทำให้ไม่ได้เห็นวิวเหมือนตอนที่เดินทางมา แต่เราจะบอกว่า สักครั้งในชีวิตเราควรนั่งรถไฟเพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวที่ไหนสักที่ ที่เราประทับใจไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นเส้นทางระหว่างทางที่เราได้พบเจอและได้ท่องเที่ยวไปในตัวนั่นเอง