ทางพิพิธภัณฑ์ติดป้ายประกาศเจตนารมณ์ในการสร้างที่นี่ไว้ว่า เป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อสันติภาพและมวลมนุษยธรรม กับพื้นที่ที่ไม่ได้กว้างใหญ่อย่างเมืองโบราณที่เป็นเจ้าของเดียวกัน ที่นี่มีกิจกรรมและความเชื่อที่ทำให้เชื่อได้ว่า คนที่มาที่นี่มาด้วยจริต อัธยาศัยที่แตกต่างกันไป ที่ประตูด้านข้างของพิพิธภัณฑ์รวมถึงด้านหน้า จะเห็นผู้คนมีดอกไม้ ธูปเทียน และจุดบูชาขอพรกัน นั่นคือความเชื่อหนึ่งเกี่ยวกับช้างเอราวัณ นอกจากนั้นยังมีบริการให้ลอยเทียนรูปดอกบัว บริเวณรายรอบพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ตามแผนที่ที่ได้รับการแนะนำ มีจุดที่เป็นศาลา และความเชื่อหลากหลาย รายรอบแต่งเป็นสวนธรรมชาติ เอกลักษณ์คือประติมากรรมช้างรอบบริเวณ ต่างสีขนาดใหญ่ สามารถเดินลอดท้องช้างได้ และจะมีเสียง ก่อนขึ้นไปชมด้านในก็เดินสำรวจโดยรอบ ๆ ก่อน จุดเน้นส่วนตัวจะดูประติมากรรมที่ตกแต่งไว้แต่ละบริเวณ ส่วนใหญ่เป็นสัตว์ที่ปรากฏในเทพนิยาย ป่าหิมพานต์ ไม่ใช่สัตว์ในโลกมนุษย์ ชมสวน ชมป่าหิมพานต์ อย่างเพลิดเพลิน แวะตามจุดต่าง ๆ ตามแลนด์มาร์คของสถานที่ ถ่ายรูปเพลินไปเลย ก่อนจะเข้าไปด้านใน ที่นี่ระบุให้แต่งตัวให้เรียบร้อย ใครนุ่งสั้นเหนือเข่าหรือเสื้อไม่อยู่ในเกณฑ์จะมีบริการผ้าคลุม ผ้านุ่งให้ เพื่อให้ดูเรียบร้อย ภายในเป็นงานวิจิตร ประณีตมาก ลวดลายสวยแปลกตา ทุกจุด ทุกมุม อ้างอิงความเชื่อ เดินขึ้นไปด้านบน และไฮไลต์อยู่ชั้นบนสุด ที่นี่มีพระพุทธบาทจำลอง ที่คนที่ไปมีศรัทธาต่างรูปแบบ ทำให้เห็นธนบัตรที่วางเรียงรายอยู่บนประติมากรรมนั้นจนแทบไม่เห็นลวดลาย เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ อยู่บนยอดสุด ส่วนด้านข้างบนชั้นนี้ยังมีตู้โชว์โบราณวัตถุอีกหลายชิ้นที่สำคัญและ "ห้ามถ่ายภาพ" ต้องไปเท่านั้นจึงจะได้ชม กราบพระพุทธรูปและพระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้ว สามารถลงลิฟท์มาสู่ชั้นลอยและเดินลงมาด้านล่างได้ จบการชมที่นี่ในวันนี้ แม้ว่าจะซื้อตั๋วรายปี ที่ซื้อครั้งเดียวสามารถเข้าชมได้ตลอดปี แต่ส่วนตัวก็ไม่มั่นใจว่าจะได้ย้อนกลับมาอีกครั้งหรือไม่ เพราะที่นี่ก็ไม่ได้กว้างอะไร ชมครั้งเดียวก็ทั่วถึง และไม่ได้มีการจุดธูปอธิษฐานขอพรอะไรเป็นพิเศษที่ทำให้ต้องย้อนกลับมาอีกครั้ง ที่นี่ พิพิธภัณฑ์...เพื่อสันติภาพและมวลมนุษยธรรม ที่อยากเติมคำว่า "นามธรรม" เข้าไปด้วย เพราะเชื่อว่าแต่ละคนที่ไป น่าจะมีจุดหมายและความเชื่อความศรัทธาที่ต่างไปคนละมุมมอง