เพื่อนร่วมทาง“ไป ไป เอื้อย เจ้าไหวบ่ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียว!!!” (อีกนิดเดียวสิตายแล้ว) ถ้อยคำให้กำลังใจเพื่อนร่วมทริปตลอดทาง เพราะเรามีจุดหมายเดียวกันคือยอดดอยหลวง-ดอยหนอก พะเยา.....ดอยหลวง-ดอยหนอก ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนแต่เป็นสถานที่เดียวที่จองเจ้าหน้าที่นำทางและลูกหาบได้ในช่วงหยุดยาว 4-6 ธ.ค.64 สำหรับทริปนี้ไปตกเพื่อนจากกลุ่มเดินป่ามาได้ 4 คน รวมกับกลุ่มเราอีก 3 คน รวมเป็น 7 คน แรก ๆ ต่างคนก็คงต่างเขินแทบจะไม่ได้คุยกันเลย แต่พอสวิตซ์มิตรภาพได้ทำงานไม่รู้ว่าเอาเรื่องเล่ามาจากไหนทั้งหัวเราะและร้องไห้ (เหนื่อยจัด55+)สำหรับการเดินทางพวกเรานั่งรถจากหมอชิตรอบ 20.00 น. กรุงเทพฯ-พะเยา ถึง สถานีขนส่งพะเยา ประมาณ 07.00 น. ต่างคนต่างทำธุระส่วนตัวล้างหน้าแปรงฟัน ( พวกเราอาบน้ำมาจากกรุงเทพฯ กันทุกคนแล้ว) รอเจ้าหน้าที่มารับไปยังจุดรวมพล ส่วนผู้นำทางคือเจ้าหน้าที่อุทยานฯ แกชื่อ “พี่วินิตย์” ส่วนอีกคนคือลูกหาบผู้เป็นทุกอย่างนาม “ลุงตาล” วัย 43 ปี ผู้ช่ำชองการใช้ชีวิตในป่ากว่าครึ่งชีวิต และได้แขวนสตั๊ดดอยมากว่า 2 ปี ซึ่งพวกเราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกหลังจากเปิดป่าที่ลุงรับหน้าที่นำทาง ส่วนตัวเราชอบลุงนะเพราะลุงน่ารักและรินเหล้าเก่ง (55+) สมาชิกคนอื่น ๆ “พี่เหมียว” พี่ใหญ่สาวใต้หนึ่งเดียวในกลุ่มผู้หอบหัวใจมาให้ (ภู) เขาดูแล “พี่นุช” แรก ๆ ดูขรึม พอรู้จักจริง ๆ แกเป็นบ้า (หยอก ๆ ) “พี่เป้” สาวสวยหน้าคมผมหยิก นี่ก็ไม่เคยเดินป่ามาก่อนแต่พี่แกเก่งมาก “พี่หนูนา” สาวนักเที่ยวแม่ลูกอ่อนผู้แบกเครื่องปั๊มนมพิชิตยอดเขา “น้องเกมส์” ชายหนุ่มคนเดียวของทริป “ละอองดาว” ตัวตั้งตัวตีผู้ก่อให้เกิดทริปในครั้งนี้ และเราเอง...ขึ้นเขาละนะ คืนที่1- ขึ้นยอดดอยหลวงสัมภาระของเราน้ำหนัก 20 กก. ที่ต้องแบกขึ้นหลังระยะทางกว่า 10 กม. คิดว่าตัวเองเตรียมร่างกายมาดีพอสมควรแต่พอเจอหน้างาน อากาศเย็น ของหนัก ทางชัน จะตายตั้งแต่เริ่มเดิน เส้นทางเริ่มชันขึ้นเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ และเรื่อยๆ พอมีขึ้นก็ต้องมีลง สลับกันแบบนี้ไปจนถึงจุดกางเต็นท์ มารู้จากลุงตาลอีกทีว่าวันนี้เราเดินข้ามเขามา 7 ลูกนะ จุดกางเต็นท์ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีไฟและสิ่งอำนวยความสะดวกใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนน้ำกิน น้ำใช้ ลุงตาลเป็นผู้เดินลงไปเอาจากตาน้ำ ซึ่งต้องลงเขาไปอีก 1 ลูก ส่วนพวกเราก็ซักแห้งตามระเบียบสำหรับคืนแรกอาหารเย็นของพวกเราคงเป็นอะไรง่าย ๆ ต้มมาม่าใส่ไข่ ต่างคนต่างเหนื่อยสภาพถึงยอดเขาสะบักสะบอมกันถ้วนหน้า อากาศคืนแรกลมแรงและหนาวมาก ลุงตาลและพี่ ๆ ลูกหาบท่านอื่นคงสงสารจึงชวนลงไปผิงไฟจุดพักแรมของลูกหาบ (นักท่องเที่ยวกับลูกหาบจะไม่พักรวมกัน)บรรยากาศรอบกองไฟเป็นเหมือนกิจกรรมละลายพฤติกรรม พวกเราพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะกลบเสียงลมได้สนิท ที่สำคัญเราได้ดื่มด่ำของดีจากพี่ ๆ ลูกหาบ นั่นคือ “เหล้าต้ม” พี่เขาบอกกินเข้าไปไล่เลือดไล่ลม คลายเส้น แก้ตึง แก้ปวด นอนหลับสบาย โอ้ววว!!! สรรพคุณมันดีจริง ๆ กรึ๊บแรกรู้เรื่องเลย ของเค้าแรงจริง ๆ ร่างกายอุ่นขึ้นทันตา เลือดสูบฉีดดีทีเดียว ค่ำคืนแรกจบลงด้วยการฝากลูกหาบซื้อเหล้ามาอีก 3 ขวดเช้าวันที่ 2 ขึ้นยอดดอยหนอก“นอนไม่ได้เลย ลมแรงมาก หนาวมาก ลมตีเต็นท์ ผับ ผับ ผับ” คำทักทายที่ทุกคนต่างบอกเล่าถึงสถานการณ์เมื่อคืนนี้ ซึ่งพี่เจ้าหน้าที่บอกว่าเมื่อคนลมแรงมาก และหนาวที่สุดตั้งแต่เปิดฤดูเดินป่ามา ll ถือว่าโชคดีแล้วกันนาน ๆ ทีได้สัมผัสอากาศหนาวll ถ้าคืนนี้ยังนอนที่เดิมมีหวังไม่ได้นอนอีกแน่ พวกเราจึงลงมติกันว่าเก็บเต็นท์และลงไปนอนใกล้ ๆ จุดขึ้นรถกลับกันเถอะไม่รีรอแบกสัมภาระขึ้นหลัง แต่ก่อนจะลงไปที่พักต้องไปพิชิตยอดดอยหนอกกันก่อนนะ แต่ดอยหนอกนี่ก็ใช่ย่อย สูงชันและอันตราย หลายคนอาจเคยได้ยินประโยค “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” แต่ที่นี่บอกเลยว่า “ยิ่งสูงยิ่งสั่น” เพราะด้วยความชันกว่า 90 องศา ต้องไต่สลิงขึ้นโดยไม่มีเซฟตี้ใด ๆ มีแค่ใจล้วน ๆหลังจากพิชิตยอดดอยหนอกได้สำเร็จเราเดินทางลงเขา เพื่อไปให้ถึงจุดที่ใกล้รับนักท่องเที่ยวที่สุด แต่เนื่องจากทางเดินที่ชันตลอดทั้งเส้นทาง ทำให้พวกเราเดินค่อนข้างช้าจึงไปไม่ถึงจุดหมายที่วางไว้ตั้งแต่แรก ซึ่งจะเป็นลานข้างลำธารพอให้อาบน้ำได้บ้างพวกเราไปไม่ถึงจุดนั้น ลุงตาลผู้ช่ำชองการเดินป่าจึงตัดสินใจพาพวกเรานอนกลางป่า ซึ่งในรอบ 2 ปีเพิ่งมีนักท่องเที่ยวมาพักจุดนี้ พวกเราช่วยกันเคลียร์สถานที่เพื่อจับจองที่กางเต็นท์ หาฟืนเพื่อเป็นเชื้อเพลิงบรรเทาความหนาวคืนนี้ ส่วนลุงตาลต้องลงไปหาตาน้ำใหม่ แผ้วทางทางใหม่ ไล่ลงไปตามไหล่เขา เนื่องจากไม่ใช่ทางเดินปกติ ตลอดทั้งเส้นทางลุงตาลจึงทำสัญลักษณ์ไว้ตามต้นไม้เพื่อไม่ให้พวกเราหลงทาง***ที่น่าเจ็บใจคือลุงตาลบอกว่าตาน้ำอยู่ใกล้นิดเดียว ประมาณ 100 เมตร พวกเราดีใจจะได้อาบน้ำ แต่พอเดินตามสัญลักษณ์ที่ลุงตาลทำไว้ ทั้งชัน ทั้งไกล ทั้งลื่น ส่วนระยะทางเราว่าน่าจะประมาณ 500 เมตรได้ ส่วนลำธารพอได้วิดน้ำสระผม แต่ความบรรลัยมันอยู่ตรงที่ทางขึ้นไปจุดกางเต็นท์เพราะทั้งชันและมืด โถวววลุงตาล 100 เมตร***ยอดดอยหนอกขุนเขาแห่งศรัทธายอดดอยหนอก หรือที่คนพื้นที่เรียกกันว่า “ขุนเขาแห่งศรัทธา” ซึ่งลุงตาลหนึ่งในผู้ร่วมก่อสร้างได้เล่าความเป็นมาของขุนเขาแห่งนี้ให้พวกเราฟังอย่างภูมิใจว่า “องค์พระและเจดีย์ด้านบนเกิดจากความร่วมมือของ 2 หมู่บ้านที่ช่วยกันสร้างขึ้น คือฝั่ง จ.ลำปาง และฝั่ง จ.พะเยา (บ้านลุงตาล) ทุกคนที่พอมีกำลังจะช่วยกันขนปูน ขนทราย ขึ้นไปไว้ยอดดอยคนละกำมือ สองกำมือ โดยเฉพาะช่วงที่มีงานบุญสรงน้ำพระ คนเยอะช่วยกันขนขึ้นมาเพื่อบูรณะส่วนที่สึกหรอ ในแต่ละปีมีคนมาร่วมงานกว่า 300 คน ไม่มีค่าจ้าง ไม่มีการประกาศ คนที่มาเขาจะรู้เอง เขาถึงเรียกขุนเขาแห่งศรัทธาไง เพราะเชื่อกันว่าคนที่ได้ไหว้พระบนที่สูงเป็นคนที่มีบารมี”คืนที่ 2 พร้อมกับข้าว Full Optionคนอ้วนมันกลัวตายอะเนาะ ถือคติที่ว่า “เหลือดีกว่าขาด” พวกเราหอบกับข้าวมาเต็มสูบคืนแรกแทบไม่ได้กินอะไรเพราะเหนื่อย วันนี้พวกเราจะทุบหม้อข้าวมีเท่าไหร่กินให้เรียบเพราะหนักเหลือเกิน นอกจากอุปกรณ์เดินป่าอย่างหม้อสนาม เตาแก๊สพกพา ที่ใช้ในการประกอบอาหารแล้ว ลุงตาลแนะนำเทคนิคการหุงข้าว และต้มน้ำจากกระบอกไม้ไผ่ให้พวกเราด้วยเมื่อเราอยู่กับป่าเราต้องเคารพป่าลุงตาลตักอาหารอย่างละนิดละหน่อยใส่ใบตองพร้อมบอกว่า “อยู่กับเขาก็ต้องให้เขากินด้วย”สำหรับอาหารมื้อนี้เต็มร้อยให้ล้านไปเลย เพราะไม่ใช่แค่รสชาติความอร่อยแต่ยังกลมกล่อมไปด้วยเสียงหัวเราะ กองไฟและเหล้าต้ม (คลายเส้นแหละ)เช้าวันที่ 3 – หามกันลงเขาวันสุดท้ายแล้ว พวกเราตื่นเช้ามาพร้อมกับกองไฟที่ยังไม่มอดตั้งแต่เมื่อคืน ลุงตาลต้มน้ำร้อนในกระบอกไม้ไผ่ไว้รอสำหรับกาแฟมื้อเช้าเคล้าไอแดดและลมหนาว นอกจากกาแฟพวกเรารองท้องด้วยต้มมาม่าร้อน ๆ ก่อนเก็บเต็นท์และเดินทางต่อไปยังจุดบริการนักท่องเที่ยวลุงตาลบอกว่า “เดินแป๊บเดียวทางง่าย ๆ” ในใจเสียวว๊าบบบบ เข็ดหลาบจาก 100 เมตรไปอาบน้ำ และมันก็เป็นจริงอย่างที่คิดเพราะเส้นทางชันตลอดทางเช่นเดิม ลื่นบ้าง ล้มบ้าง เป็นเรื่องปกติ จนกระทั่ง “พี่นุชล้ม เอ็นข้อเท้าพลิก!!!”เอาแล้วสถานการณ์ตอนนี้เหลือ เรา ลุงตาล ดาว เกมส์ ที่เหลือไปรอจุดขึ้นรถแล้ว (เขาเดินไว) ลุงตาลบอกให้เกมส์ไปเรียกพี่วินิตย์มาช่วยขนกระเป๋าของพี่นุช เช่นเดิมลุงบอกว่าเดินไปประมาณ 100 เมตร แต่ด้วยตามที่ไม่อยากรอ เราและดาวจึงช่วยแบกประเป๋าพี่นุชเดินมาก่อน ส่วนพี่นุชและลุงตาลพยุงกันเดินตามมา แต่ 100 เมตรก็แล้ว 200 เมตรก็แล้ว ก็ยังไม่เจอพี่วินิตย์เดินสวนมา (ลุงตาลหลอกกูอีกแล้ว) เดินต่อไปอีกซักพักค่อยเจอพี่วินิตย์ “ข้างหลังเลยค่ะ พี่วินิตย์พี่นุชอยู่ข้างหลังเดี๋ยวพวกหนูขนของไปเอง” เราคิดว่าจากจุดที่พี่นุชล้มน่าจะประมาณ 500 เมตรได้นะ สรุปพี่นุชต้องขี่หลังพี่วินิตย์กลับมา พวกเราปิดฉากการเดินป่าครั้งนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบสำหรับทริปนี้ทุกคนเก่งมาก.....ค่าใช้จ่ายโดยประมาณค่ารถไป-กลับ กทม.-พะเยา ประมาณ 1,000 บาท/คนค่ารถรับ-ส่งไปจุดขึ้นเขา + ค่าเจ้าหน้าที่นำทาง 1,500 บาท/คืนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับการช็อปของขึ้นเขาค่ะภาพถ่ายโดย : นักเขียนอัปเดตบทความท่องเที่ยวตามสถานที่อันหลากหลาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !